วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

ยาสัตว์


“ยาสัตว์” หมายถึงยาที่ได้รับ อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในสัตว์ และ “ยาคน” หมายถึงยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในคน ขั้นตอนและกระบวนการในการขออนุญาตขึ้นทะเบียนยาเพื่อใช้ในสัตว์คล้ายคลึงกับการขออนุญาตขึ้นทะเบียนยาคน ความแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่จำนวนประชากรในการทดลองใช้ยาในทางคลินิก (clinical trials) ของยาสัตว์อาจน้อยกว่า คือ อยู่ในระดับหลักร้อยเทียบกับระดับหลักพันในคน แต่สำหรับมาตรฐานการผลิตนั้นใช้มาตรฐานเดียวกัน โดยต้องเป็นไปตามข้อกำหนด ที่เรียกว่า good manufacturing practices (GMP)

การให้ยาสตว์
สำหรับการศึกษาฤทธิ์ และพิษของยาที่ต้องการนำมาใช้ในคนนั้นต้องมีข้อมูลการศึกษาหรือผลการทดลองในสัตว์นำมาก่อนจะมีการทดลองทางคลินิกใน คนเพื่อประกอบการขอขึ้นทะเบียน แต่บริษัทผู้ผลิตไม่มีสิทธิที่จะโฆษณา หรือ ประกาศว่า ยาชนิดนั้นใช้ได้ในสัตว์ จนกว่าจะมีการขอขึ้นทะเบียนเพื่อใช้เฉพาะในสัตว์ โดยต้องระบุชนิดของสัตว์รวมทั้งขนาด และสรรพคุณอื่น ๆ ที่ เฉพาะเจาะจงเป็นราย ๆ ไป อย่างไรก็ตาม สัตวแพทย์อาจสั่งใช้ยาคนเพื่อรักษาสัตว์ที่ตนดูแลได้ตามความจำเป็น และเห็นสมควร โดยทั่วไปสัตวแพทย์จะเลือกใช้ยาสัตว์ก่อน หากไม่ได้ผล หรือไม่อาจหายาสัตว์ได้จึงจะคิดถึงการนำยาคนมาใช้แทน

จำนวนชนิดของยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในสัตว์จะมีน้อย กว่ายาคน และหากมีก็จะผลิตในจำนวนที่น้อยกว่าเพราะตลาดยาสัตว์มีปริมาณ น้อยกว่า ทำให้ราคายาสัตว์โดยทั่วไปจะสูงกว่ายาคน การนำยาคนมาใช้ในสัตว์จึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะนำยาคนทุกตัวมาใช้กับสัตว์ได้โดยไม่แยกแยะ เพราะแม้ว่ายาทุกตัวจะมีฤทธิ์ต่อคน และสัตว์เหมือนกัน แต่การตอบสนองของร่างกายคน และสัตว์อาจแตกต่างกัน ยาบางชนิดมีพิษน้อยในคนแต่มีพิษสูงต่อสัตว์ เจ้าของจึงไม่ควรนำยาคนมาใช้ในสัตว์ โดยไม่ขอความเห็นจากสัตวแพทย์ก่อน

บางท่านอาจสงสัยว่า แล้วจะคิดขนาดของยาคนที่นำมาใช้ในสัตว์อย่างไร คำตอบคือ จะมีการศึกษาทดลองโดยสัตวแพทย์ที่เป็นนักวิชาการ และนักวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผล และขนาดของยาคนในสัตว์ มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสารทางวิชาการของวิชาชีพจนได้ข้อมูลระดับหนึ่งที่สามารถอ้างอิงได้ และจะมีการรวบรวมสรรพคุณของยาสัตว์ และยาคนที่ใช้ในสัตว์ไว้ในหนังสือคู่มือยาสัตว์เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ใช้ในทางคลินิกต่อไป

การนำยาคนมารักษาสัตว์เป็นการสั่งจ่ายยาที่ “นอกเหนือคำแนะนำ” การใช้ยานอกเหนือคำแนะนำ อาจหมายรวมถึงการนำยาสัตว์มาใช้กับสัตว์ต่างชนิดจากที่ขอขึ้นทะเบียนยาไว้ หรือนำยาไปใช้ในภาวะหรือขนาดที่ต่างจากที่ระบุไว้ในการขอขึ้นทะเบียน ตัวอย่างของการใช้ยานอกเหนือคำแนะนำ ได้แก่ สัตวแพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดแก้ไข้ลดการอักเสบที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนใช้ในสุนัขไปปรับใช้ในแมวโดยใช้ขนาดที่ตํ่ากว่า หรือจ่ายยาขยายหลอดเลือดที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนใช้ในคนให้กับสัตว์ที่สัตวแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็น และสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย

การนำยาคนมาใช้รักษาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน เช่น สุนัข และแมว ไม่มี ข้อจำกัดมากเท่ากับการนำยาคนมาใช้รักษาสัตว์เศรษฐกิจ เช่น โคกระบือ สุกร หรือ ไก่ เพราะกรณีหลังนี้อาจทำให้เกิดการตกค้างของยาในเนื้อสัตว์ที่คนนำมาบริโภค และมีผลเสียตามมา เช่น นำไปสู่การดื้อยาในคน เป็นต้น

วิธีการป้อนยา และการให้ยาภายนอกกับสุนัข และแมว
การป้อนยาสุนัข และแมวสามารถปฏิบัติได้ง่ายโดยเฉพาะในสุนัข และ แมวที่ไม่ดุ และมีความคุ้นเคยกับเจ้าของ มีวิธีการปฏิบัติดังนี้

1. จับบริเวณปากด้านล่างให้สัตว์เงยหน้าขึ้น ในขณะเดียวกันเปิดปาก ด้านบนของสัตว์ออกอย่างช้า ๆ

2. วางเม็ดยาลงบริเวณโคนลิ้น แล้วปิดปากโดยจับปากของสัตว์ให้ปิด อยู่เช่นนั้นพร้อมกับลูบบริเวณลำคอเพื่อให้สัตว์กลืนยา

3. ในการป้อนยานํ้าจะใช้หลอดฉีดยา ที่ไม่มีเข็มฉีดยาติดอยู่เป็นอุปกรณ์ในการป้อนซึ่งขั้นตอนในการจัดท่าสัตว์ก่อนการป้อนยาจะเป็นเช่นเดียวกับการป้อนยาเม็ด แต่การป้อนยานํ้าจะใช้การสอดท่อป้อนเข้าทางข้าง ๆ ปาก บริเวณกระพุ้งแก้ม และต้องค่อย ๆ เดินยาจากหลอดเข้าสู่ปากสัตว์เพื่อป้องกันการสำลักยาเข้าสู่ทางเดินหายใจ

4. หากพบปัญหาการป้อนยายาก อาจใช้อุปกรณ์ช่วยในการป้อนยาซึ่ง เป็นหลอดพลาสติก แต่ต้องระมัดระวังในการใช้เพราะผู้ที่ยังไม่ชำนาญอาจจะทำให้ยาหลุดเข้าสู่หลอดลมเกิดอันตรายต่อสัตว์ได้

5. หากพบว่าสัตว์ปฏิเสธการกินยา อาจใช้วิธีการอื่น ๆ เช่น ซ่อนยาใน ขนมที่มีรสหวานหรืออาหารที่สัตว์ชอบ เช่น ทองหยอด ลูกชิ้น เนื้อปลาย่าง เป็นต้น

6. ถ้าไม่สามารถป้อนยาสัตว์ได้ต้องรีบพาสัตว์ไปพบสัตวแพทย์เพื่อให้ ยาโดยวิธีการอื่น เช่น การฉีดยา

7. หากพบว่าสัตว์กินยาแล้วมีการอาเจียนทุกครั้ง หรือมีปัญหาอื่นใด เกิดขึ้นระหว่างการกินยา ควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันที

สำหรับการให้ยาภายนอกกับสุนัข และแมว เช่น ครีมทารักษาขี้เรื้อน ขี้ผึ้งใส่แผล ยาหยอดตา-หู มีข้อปฏิบัติดังนี้

1. ควรตัดขนหรือขลิบขนบริเวณที่จะให้ยาออก เพื่อให้บริเวณรอยโรค ได้รับยาเต็มที่ซึ่งมีผลต่อการดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกายสัตว์

2. ใช้ยาในปริมาณพอเหมาะไม่มากเกินไป และไม่บ่อยเกินไปเพราะยา บางชนิด ถ้าใช้มากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหรืออาจเกิดพิษจากยาได้ เนื่องจากความเข้มข้นของยาที่เข้าสู่ร่างกายสูงเกินไป

3. ก่อนใช้ยาหยอดหู ควรทำความสะอาดช่องหูขจัดขี้หู และสิ่งคัดหลั่งในหู เช่น คราบหนองออกให้หมดก่อนจึงหยอดยา จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ เพราะไม่มีสิ่งแปลกปลอมบดบังพื้นที่ผิวสัมผัสของยากับเนื้อเยื่อในช่องหู

4. การใช้ยาหยอดตาให้ใช้มือข้างที่ถือขวดยา วางลงบนหัวสัตว์โดยอ้อม จากด้านหลังหัวสัตว์ แล้วหยอดยาลงบนบริเวณหัวตา โดยเปิดหนังตาล่างออก เล็กน้อย ระวังปลายขวดยาสัมผัสลูกตาสัตว์ขณะหยอดยา

 เก็บรักษายาสัตว์
ยาสัตว์ก็เหมือนยาคนที่ต้องดูแล และเก็บรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีมีคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน แนะนำให้อ่านจากฉลากยาหรือเอกสารกำกับยาที่แนบมาถึงวิธีการเก็บรักษายา เภสัชภัณฑ์หรือยาสำเร็จรูปทั่ว ๆ ไปมักกำหนดวิธีเก็บรักษายา ไว้ที่ฉลากยาหรือเขียนระบุไว้ข้างกล่อง ยาบางตัวสลายตัวได้ง่ายเมื่อเจอกับแสงความร้อน และความชื้น การเก็บรักษายาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ โดยเริ่มจากสถานที่เก็บยาเป็นอันดับแรก ควรเก็บรักษายาไว้ในกล่องหรือตู้ยาเช่นเดียวกับยาคน เก็บไว้ในที่มิดชิด และวางให้พ้นมือเด็ก และสัตว์เลี้ยง สถานที่จัดเก็บยาควรอยู่แห้งสะอาดมีอากาศถ่ายเทไม่โดนแดดส่องหรืออยู่ใกล้เตาไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน สำหรับยาบางตัวระบุที่ระบุไว้ในฉลากยาว่าเก็บไว้ในที่เย็นหรือเย็นจัด ก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็น

โดยทั่วไปแล้วการเก็บรักษายาต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้

1. อุณหภูมิ โดยที่อุณหภูมิเย็นหมายถึงอุณหภูมิระหว่าง 5-15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเย็นจัดคือ อุณหภูมิระหว่าง 2-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิห้องหรืออุณหภูมิธรรมดาคือ อุณหภูมิระหว่าง 15-25 องศาเซลเซียส

2. แสง ตัวยาบางชนิดไม่คงตัวเมื่อสัมผัสกับแสง ในกรณีเช่นนี้จำเป็นต้องเก็บยาในที่ ๆไม่ถูกแสง ภาชนะสำหรับบรรจุยาควรเป็นวัตถุทึบแสง เช่น ขวดแก้วสีชา กล่องกระดาษ พลาสติกทึบแสงเป็นต้น

3. ความชื้น เป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศในแถบร้อนที่มีความชื้นใน บรรยากาศสูงเช่น ประเทศไทย นอกจากตัวยาบางตัวสลายตัวเมื่อถูกกับความชื้น แล้วรูปแบบยาเตรียมบางประเภทเช่น ยาเม็ดเคลือบน้ำตาล ยังไม่คงตัวอีกด้วย แก้ไขโดยใส่สารดูดความชื้น เช่น silica gel (ทำเป็นแคปซูล) หรือ calcium chloride (ทำเป็นเม็ด) ใส่ลงไปในภาชนะบรรจุยาที่มีฝาปิดสนิท

4. อายุของยา ต้องคอยดูแล และควบคุมการใช้ให้ยาอยู่ในสภาพที่ดี และยัง ไม่หมดอายุ

5. ฉลากยา นอกจากจะดูแลรักษาให้ยาให้ดีแล้ว ควรระวังให้ฉลากยาอยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ ต้องคอยระวังไม่ให้ฉลากสกปรกเลอะเลือนหรือเปียกน้ำจนอ่านไม่ออก ข้อความบนฉลากยามีส่วนช่วยให้เจ้าของสัตว์ใช้ยาได้ถูกต้องตามความประสงค์ของสัตวแพทย์ไม่มีการปะปน และเกิดการสับสนในการให้ยาแก่สัตว์ และยังบอกวิธีเก็บรักษายาได้เหมาะสม

 เมื่อสุนัข และแมวป่วยจะให้ยาแก้ปวดลดไข้ของคนได้ หรือไม่
ยาที่ใช้กันเป็นประจำเพื่อลดไข้บรรเทาปวดในมนุษย์ เช่น แอสไพริน หรือพาราเซตามอล ซึ่งถือเป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับมนุษย์นั้น ไม่ได้ ปลอดภัยหรือมีความเป็นพิษตํ่าในสัตว์เลี้ยงเช่น เดียวกับในมนุษย์ ในทางตรงกันข้าม ยาเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดความเป็นพิษหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น เกิดแผลหลุมในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้มีเลือดออก หากได้รับยาอย่างไม่ถูกต้อง

แอสไพรินไม่ได้เป็นยาตัวเลือกที่ดีสำหรับลดไข้ บรรเทาปวดในแมว เนื่องจากแอสไพรินจะถูกเปลี่ยนแปลง และขับออกอย่างช้า ๆ ในร่างกายของแมว สามารถให้ได้เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการบรรเทาปวด ดังนั้นจึงควรนำแมวของท่านเข้ารับคำแนะนำจากสัตวแพทย์ และไม่ควรป้อนยาให้สัตว์เลี้ยงของท่านเองโดยไม่ได้ปรึกษาสัตวแพทย์ก่อน สำหรับในสุนัข จะมีปัญหาเกี่ยวกับเอนไซม์ในการเปลี่ยนแปลงยาน้อยกว่าแมว แต่ปัญหาที่มักพบจากการได้รับแอสไพรินในสุนัข คือ การระคายเคืองทางเดินอาหาร มีเลือดออก และเกิดแผลหลุมในกระเพาะอาหารดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ยาแอสไพรินกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันการระคายเคืองทางเดินอาหารของยาแอสไพรินนี้

สำหรับยาพาราเซตามอลนั้น แมวจะไวต่อความเป็นพิษของพาราเซตา มอลได้มากกว่าสุนัข โดยขนาดยาเพียง 45 มก./กก. ของน้ำหนักตัวก็ทำให้เกิด ความเป็นพิษได้แล้ว (พาราเซตามอล 1 เม็ด ขนาดเท่ากับ 500 มก.) เนื่องจาก แมวขาดเอนไซม์ที่ใช้เปลี่ยนแปลงยาทำให้ยาเกิดความเป็นพิษขึ้น เม็ดเลือดแดงของแมวนั้นไวต่อการถูกทำลาย ทำให้ไม่สามารถขนส่งออกซิเจน ส่งผลให้แมวเสียชีวิตได้ อาการที่แสดงความเป็นพิษจะเกิดขึ้นภายใน 4-12 ชั่วโมงหลังจากได้รับยา โดยอาการที่อาจพบได้ในระยะเริ่มแรก คือ อาเจียน ซึม หายใจลำบาก เหงือกมีสีคล้ำ อุ้งมือ อุ้งเท้า และหน้าบวม หลังจากนั้นประมาณ 2 วัน ตับอาจเสียหาย เริ่มสังเกตเห็นอาการดีซ่าน ชัก โคม่า และตายได้ในสุนัขขนาดของยาที่ทำให้เกิดความเป็นพิษจะสูงกว่าในแมว คือ 250 มก./กก. ของน้ำหนักตัว ซึ่ง ความเป็นพิษมักเกิดขึ้นกับตับ และไต ทำให้เกิดภาวะตับ และไตวายได้ ดังนั้นจึงไม่ควรให้ยาพาราเซตามอลกับสุนัข และแมวเป็นอย่างยิ่ง

 สัตว์มีการแพ้ยาหรือไม่
ปกติเรามักจะได้ยินว่า สัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุทำให้เด็กเล็ก ๆ หรือคนบางคนที่เป็นโรคภูมิแพ้แสดงอาการแพ้ขึ้นมาได้ (น่าแปลกคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ มักจะแพ้ไปหมด เจออะไรก็แสดงอาการแพ้ และเจ้าสัตว์เลี้ยงมักจะโดนโทษก่อนใครว่าเป็นต้นเหตุ) แต่เจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราก็เกิดอาการแพ้ยาขึ้นมาได้แบบเดียวกับคนเช่นกัน อาการแพ้เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาตอบโต้ของภูมิคุ้มกันภายในร่างกายสิ่งมีชีวิต ภูมิคุ้มกันที่น่าจะดูแลปกป้องเรา แต่บางทีก็ทำหน้าที่เกินเลยไปหน่อยจนเกิดปัญหาของคนบางคนที่ไวเป็นพิเศษที่เป็นหนัก ๆ ก็เป็นโรคแพ้ภัยตัวเองจนต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน อาการแพ้ที่แสดงออกมามีตั้งแต่อาการหนักหนาสาหัสจนแทบตายจนถึงพอทนไหวแต่ก็มีผลต่อคุณภาพชีวิต อาการแสดงออกมากบ้างน้อยบ้างหรือแค่พอรำคาญ ถ้าเป็นกันบ่อย ๆ ก็เรียกว่าเป็นโรคภูมิแพ้ (สุนัข และแมวก็มีสิทธิเป็นโรคภูมิแพ้เหมือนกัน) เพราะแพ้สิ่งต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมที่เราต้องเจอะเจอในชีวิตประจำวันแถมยังยากต่อการหลีกเลี่ยง เช่น อาหารทะเล นมวัว ฝุ่นละออง ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ อากาศเปลี่ยนแปลง ฯลฯ บางคนก็แสดงอาการแพ้มาก บางคนก็แพ้น้อย แล้วแต่พันธุกรรม (หรือบางคนก็เชื่อว่าเป็นกรรมเก่า) การแพ้ยาก็จัดเข้าในประเด็นนี้คือ อาจแสดงอาการหนักหนาสาหัส เช่น หายใจไม่ค่อยออก เพราะหลอดลมตีบตันขึ้นมาซะเฉย ๆ หรือแค่ขึ้นผื่นตามเนื้อตัว พอหยุดยาหรือไม่ได้สัมผัสกับต้นเหตุของอาการแพ้ก็หายไปได้เอง พอได้ใหม่ก็แพ้อีก เป็นที่สังเกตุว่าอาการแพ้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นถ้าไม่หยุดใช้ยาที่ทำให้แพ้

ยาอะไรบ้างที่ทำให้แพ้ยาได้

ยาที่ใช้กันทั่ว ๆ ไปในการรักษาโรคซึ่งรวมถึงยาที่ใช้รักษาอาการแพ้ ทั่วไปที่เราเรียกว่า ยาแก้แพ้ (ถึงตรงนี้ท่านคงงงว่า แล้วจะใช้อะไรรักษาถ้าไปแพ้ยาแก้แพ้เข้า เอาเถอะ มียาแก้ก็แล้วกัน) ยาที่พบว่าทำให้แพ้มากได้แก่ ยาต้านจุลชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยาปฏิชีวนะที่มีโครงสร้างเป็นเบต้าแลคแตม (มีหลายตัวด้วยกัน แพ้ตัวหนึ่ง ก็พาลแพ้ไปทั้งกลุ่ม) ยาในกลุ่มซัลฟา (มีหลายตัว) วิธีการให้ยาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะให้โดยการกิน ให้โดยการฉีดหรือแค่ทาภายนอก ก็ทำให้แพ้ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าให้โดยการฉีดอาการแพ้มักจะรุนแรงกว่าให้โดยการทาเฉพาะที่

ท่านอาจสงสัยว่า เคยใช้ยาตัวนี้มาก่อนก็ไม่เคยมีปัญหา แต่มามีปัญหาที หลัง หลังจากใช้ไปแล้วครั้งที่สองหรือนานกว่านั้น อธิบายแบบง่าย ๆ ได้ว่า เช่นเดียวกันกับสารก่อให้เกิดอาการแพ้ทั้งหลาย ที่ร่างกายเรามองเห็น“ยา” เป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เริ่มรู้จักในครั้งแรกแล้วว่า “ยา” ที่เราให้ไปครั้งนั้น เป็นสิ่งแปลกปลอม ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถแยกแยะได้ว่า สารแปลกปลอมนั้นมาดีหรือมาร้าย มันไม่เข้าใจว่าเขาให้ “ยา” มาช่วยจัดการกับเชื้อโรคที่รุกราน ระบบภูมิคุ้มกันเลยสร้างสารแอนติบอดีเตรียมเอาไว้ กะว่าจะจัดการให้จงได้ถ้าโผล่มาอีกเป็นการเตรียมพร้อมที่จะสร้างสารกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่จำเพาะกับยาหรือสารเคมีที่มีโครงสร้างคล้าย “ยา” ตัวนั้นขึ้นมา เมื่อได้รับ “ยา” เข้ามาอีกครั้ง ภูมิต้านทานก็สำแดงเดช ในบางรายที่ภูมิต้านขยันมากไปหน่อย สร้างสารแอนติบอดีออกมามากก็จะทำให้แพ้มากกว่ารายอื่น ๆ

แล้วท่านจะสังเกตได้อย่างไรว่า สัตว์เลี้ยงของท่านแพ้ยาเข้าให้แล้ว

ท่านอาจสังเกตได้ง่ายมากถ้าอาการแสดงออกมาชัดเจนจนผิดปกติไป อาการคันตามผิวหนังโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ผิวค่อนข้างอ่อนบาง เช่น หน้าท้องอาจมีผื่นเกิดขึ้นทันทีหลังจากได้รับยา ผื่นอาจจางหายไปบ้าง และกลับมามีมากขึ้นเมื่อให้ยาในขนาดต่อไป สุนัขบางตัวอาจแสดงอาการแพ้ออกมาโดยอาการคันแล้วก็เกาอย่างเมามัน (แยกให้ออกจากคันเพราะมีเห็บหมัดหรือโรคอื่น ๆ) มีรอยผื่นแดง คันรอบดวงตา ปาก และหู บริเวณรอบโคนหาง และอุ้งเท้า บางรายหน้าตาบวมแดงจนเห็นได้ชัด มีน้ำตาไหล น้ำมูกไหล ในบางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น จาม หายใจติดขัด ที่หนักหนาก็แสดงอาการหอบหรือโคม่าได้ เมื่อเกิดขึ้นหลังจากให้ยาก็ให้สงสัยว่าสัตว์เลี้ยงแพ้ยาไว้ก่อน หยุดให้ยาตัวนั้นทันที รีบนำสัตว์เลี้ยงพร้อมกับยาไปหาสัตว์แพทย์โดยด่วนเพื่อหาทางแก้ไขอาการแพ้ และห้ามให้ยาขนานนั้นต่อไปโดยเด็ดขาดถ้าพบว่าแพ้ยาตัวนั้นจริง ถ้าอาการแพ้แสดงออกมาเป็นผื่นเล็กน้อยควรหยุดยา สังเกตอาการผื่นจะหายไปเองและควรไปปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นที่ให้ผลการรักษาแบบเดียวกัน แต่มีโครงสร้างทางเคมีไม่เหมือนกับตัวที่ทำให้แพ้

ถ้าหยุดยาก็แล้ว ผื่นไม่หายเสียทีอย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะสัตว์เลี้ยงของท่าน อาจเกาจนเป็นแผลแล้วตามด้วยการติดเชื้อ ทำให้การรักษายุ่งยากมากขึ้น รีบไปพบสัตว์แพทย์เพื่อรับยาแก้แพ้ และทาผื่นนั้นด้วยเสตียรอยด์ การใช้เสตียรอยด์ในระยะสั้น ๆ เพื่อหยุดการลุกลามของผื่น และอาการคันไม่ทำให้เกิดปัญหาแต่ประการใด แต่ถ้าไม่ใช้ยาแก้ไขแต่เนิ่น ๆ ปัญหาโรคผิวหนังที่ตามมาจากผื่นแพ้ธรรมดา ๆ จะ ร้ายแรงกว่ามากที่สำคัญโปรดจำไว้ด้วยว่าสัตว์เลี้ยงของท่านแพ้ยาอะไร และแจ้งแก่สัตวแพทย์ทุกครั้งเมื่อมีการใช้ยารักษา

 จะพาสุนัขเดินทางไปต่างจังหวัด ควรเตรียมตัวสุนัขอย่างไรไม่ให้เมารถ
การเมารถ หรือ motion sickness เกิดขึ้นได้กับสุนัขหรือแมวที่ต้องเดิน ทางไกล โดยเฉพาะสัตว์ที่ไม่ค่อยได้นั่งรถเดินทางบ่อย ๆ ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องพาสุนัขหรือแมวเดินทางไกล ควรพาสัตว์ไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับยาป้องกันการเมารถมาให้สัตว์กินก่อนเดินทาง รวมทั้งตรวจสุขภาพทั่วไปของสัตว์ก่อนการเดินทาง

ยาที่ใช้ป้องกันการเมารถเป็นยาในกลุ่ม antihistamines หรือที่รู้จักกัน ทั่วไปในนามของยาแก้แพ้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นยากลุ่มนี้ไม่ได้มีฤทธิ์แต่เพียงการแก้แพ้หรือแก้คันเท่านั้น แต่ยังมีฤทธิ์ในด้านอื่น ๆ รวมทั้งการป้องกันการเมารถด้วย

antihistamines แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มโดยกลุ่มที่มีฤทธิ์ป้องกันการเมารถจัดอยู่ ในกลุ่ม H,- antihistamines ตัวยาที่นิยมใช้ป้องกันการเมารถ คือ

1. diphenhydramine มีฤทธิ์ระงับอาเจียน ระงับไอ สงบประสาท และลดการรับรู้ต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอกในสัตว์ ทำให้สัตว์สงบ ช่วยป้องกันการเมารถได้ ขนาดยาที่ใช้คือ 2-4 มิลลิกรัมต่อนํ้าหนักตัวสัตว์ 1 กิโลกรัม อาจให้โดย การกินหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 8 ชั่วโมง

2. dimenhydrinate มีฤทธิ์คล้าย diphenhydramine ขนาดยาที่ใช้คือ 4-8 มิลลิกรัมต่อนํ้าหนักตัวสัตว์ 1 กิโลกรัม ให้โดยการกินทุก 8 ชั่วโมง


 ทำไมการให้ยาปฏิชีวนะในสัตว์เลี้ยงบางครั้งจึงไม่ประสบ ความสำเร็จ
โดยทั่วไปการพิจารณาจ่ายยาปฏิชีวนะของสัตวแพทย์มักคำนึงถึงหลัก สำคัญ 4 ประการ คือ

1. การเลือกจ่ายยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับเชื้อจุลชีพก่อโรค

2. ขนาดของยาที่จ่ายถูกต้อง และเหมาะสมกับชนิดของสัตว์ อาการของ โรค อวัยวะที่มีการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อที่ผิวหนัง ขนาดของยาปฏิชีวนะที่จ่ายต้องสูงเพียงพอ เนื่องจากผิวหนังได้รับเลือดไปเลี้ยงเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ของเลือดที่ถูกส่งออกมาจากหัวใจ ยาที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยการฉีดหรือกินจะไปถึงยังผิวหนังได้โดยการส่งผ่านทางกระแสเลือด ดังนั้นปริมาณยาที่ไปถึงผิวหนังจะค่อนข้างตํ่าหากเทียบกับอวัยวะที่มีเลือดไปเลี้ยงสูง เช่น ตับ

3. ระยะห่างหรือความถี่ของการได้รับยาในขนาดดังกล่าวตามข้อ 2 ถูกต้อง เช่น ยาบางชนิดสัตว์ควรได้รับวันละ 1 ครั้ง หรือบางชนิดควรได้รับ วันละ 4 ครั้ง จึงจะมีผลทำให้ระดับของยาในเนื้อเยื่อเป้าหมายคงที่ และสูงพอที่จะออกฤทธิ์ได้

4. ระยะเวลาที่สัตว์ได้รับยาปฏิชีวนะควรนานเพียงพอที่จะทำให้เกิดการ รักษาโรค ซึ่งในที่นี้จำเป็นต้องคำนึงอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่ต้องการให้ยาไปออกฤทธิ์ด้วย เช่น การติดเชื้อที่ผิวหนัง ในกรณีผิวหนังอักเสบเป็นหนอง การรักษาการติดเชื้อชนิดนี้ จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานานอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ จึงจะทำให้การรักษาได้ผลดี

ความล้มเหลวของการรักษาการติดเชื้อด้วยปฏิชีวนะที่พบบ่อยอาจเกิดจากการที่เจ้าของหยุดป้อนยาให้สัตว์ป่วยก่อนกำหนดหรือเมื่อเห็นว่าสัตว์ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว และมักจะเก็บยาที่เหลือไว้เพื่อใช้ในครั้งต่อไปเอง ซึ่งมักจะทำให้การรักษาการติดเชื้อด้วยยาชนิดเดิมไม่ได้ผลเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอาจพัฒนาตัวเองทำให้เกิดการดื้อต่อยาชนิดนั้น ๆ ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่สัตวแพทย์จ่ายยาปฏิชีวนะให้กับสัตว์ป่วย เจ้าของสัตว์ควรพยายามป้อนยาให้หมดตามที่สัตวแพทย์สั่งจ่ายยามาถึงแม้ว่าสัตว์จะหายป่วยกลับมาเป็นปกติแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวข้างต้น

ยาปฏิชีวนะบางตัว เช่น ยากลุ่ม เตตร้าซัยคลิน (tetracyclines) ไม่ควรให้ กินร่วมกับนม เนื่องจากแคลเซียมในน้ำนมจะจับกับยาปฏิชีวนะกลุ่มนี้ และทำให้ประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้ยาบางชนิดต้องให้ทุก 6 ชั่วโมง บางชนิดทุก 8 ชั่วโมง หรือทุก 24 ชั่วโมง ยาบางชนิดควรให้กินก่อนอาหารในขณะท้องว่าง บาง ชนิดให้กินหลังอาหาร หรือบางครั้งให้กินพร้อมอาหาร เพื่อให้ยาถูกดูดซึมได้ดีที่สุด ดังนั้นเจ้าของสัตว์ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

 เวลาขอให้หมอจ่ายยาให้น้องหมา ทำไมต้องพาน้องหมามาให้หมอดูตัวด้วยทั้ง ๆ ที่ก็ได้อธิบายอาการให้ฟังแล้ว

ก่อนที่สัตวแพทย์จะลงมือให้การรักษาโดยการฉีดยา หรือจ่ายยาให้ไปกินที่บ้านนั้น ต้องมีขั้นตอนการตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติหรือหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดอาการไม่สบาย การตรวจร่างกายภายนอก เช่น การจับต้องตัวสัตว์ การฟังเสียงปอด การฟังเสียงหัวใจ การวัดอุณหภูมิอาจไม่เพียงพอ จึงต้องมีการเจาะเลือดเก็บน้ำปัสสาวะหรืออุจจาระไปตรวจเพื่อยืนยันให้แน่นอน ดังนั้นการฟังคำบอกเล่าจากเจ้าของเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัย และให้การรักษา สัตวแพทย์ทราบดีว่าการพาสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ตัวโต ๆ มาหาหมอเป็นความยุ่งยากต่อเจ้าของสัตว์ แต่การจ่ายยาโดยไม่ได้สัมผัสสัตว์เลยจะทำให้เกิดปัญหามากกว่า โดยเฉพาะกับสัตว์เองที่อาจได้ยาที่ไม่ตรงกับโรค ขนาดยาที่ได้มากหรือน้อยเกินไป เป็นต้น

บางครั้งสัตว์เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการรับยาอย่างต่อเนื่อง เช่น สัตว์ที่มีโรคลมชัก เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคข้อ เป็นต้น เจ้าของควรพาสัตว์มาพบหมออย่างต่อเนื่องตามกำหนดนัดเพื่อประเมินอาการหมออาจต้องพิจารณาเพิ่มหรือลดขนาดยาจากที่ให้ไว้เดิมตามอาการที่พบมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจดีขึ้นหรือเลวลง ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อตับ และไต กรณีเช่นนี้จำเป็นต้องตรวจร่างกาย และตรวจเลือดอย่างสมํ่าเสมอ โดยทั่วไปหากเจ้าของประสบปัญหาในการพาสัตว์เลี้ยงมาหาหมอจริง ๆ อาจขอยาเพิ่มได้เมื่อยาแต่ละชุดหมดลง แต่ไม่ควรเว้นระยะการพาสัตว์เลี้ยงมาหาหมอนานเกินกว่า 6 เดือน ทั้งนี้กล่าวเฉพาะเมื่ออาการของสัตว์ดีขึ้นบ้างอย่างคงที่ไม่เลวลงจากเดิม แต่หากเห็นอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงต้องพามาก่อนนัดหรือตามนัดเสมอ

สัตวแพทย์พยายามที่จะใช้ยาที่เหมาะสม และมีความปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงของท่าน วิธีปฏิบัติที่ดีคือ ให้สัตวแพทย์ได้ตรวจประเมินสุขภาพสัตว์และ ประเมินขนาด และชนิดของยาที่สัตว์ได้รับอย่างสมํ่าเสมอ แม้เจ้าของจะต้อง เสียสละเวลาบ้างในการพาสัตว์เลี้ยงมาหาหมอ แต่ก็เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง และสัตว์เลี้ยงแสนรักของท่าน

การใช้ยาในสัตว์เลี้ยง

การใช้ยากับสัตว์เลี้ยงนั้นข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการใช้ยากับสัตว์เลี้ยงของเรา  อาจจะมีคำถามว่ายาคนกับยาสัตว์ใช้ด้วยกันได้หรือเปล่า  ใช้ยาเกิดขนาดเป็นอะรบ้าง  ผลข้างเคียงจากการใช้ยาของสัตว์เลี้ยง  รวมไปถึงทำไมยาสัตว์ถึงแพงกว่ายาคนที่เรากินอยู่ และข้อสงสัยที่เรามักพบซึ่งทางผมได้เจอเอกสารของทาง  ภาควิชาเภสัชวิทยา  คณะสัตวแพทย์ศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ไว้บางข้อที่คิดว่ามีข้อสงสัยสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์  และมีความสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องใช้ยากับสัตว์  เพื่อเป็นการระมัดระวังการใช้ยากับสัตว์เลี้ยงของเราได้ถูกต้องบ้าง
ความแตกต่างระหว่าง  ยาสัตว์  กับยาคน
                คำว่า “ยาสัตว์”  คือยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป้นยาสัตว์  ส่วน  “ยาคน”  คือที่ไดรับขึ้นทพเบียนเป็นยาคน  ขึ้นตอนการขออนุญาติขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในสัตว์เหมือนกับการขึ้นทะเบียนเพื่อให้กับคน  ความแตกต่างขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในการทดลองยาทางคลินิกของยาสัตว์น้อยกว่า  คืออยู่ในระดับหลักร้อยเทียบกับระดับหลักพันในคน  แต่ใช้มาตรฐาน GMP  เช่นเดียวกับคน  สำหรับการศึกษาเรื่องการออกฤทธิ์นั้น  ยาของคนต้องมีการศึกษาค้นคว้าและทำการทดลองก่อนที่จะขอขึ้นทะเบียนยาได้  ส่วนยอของสัตว์นั้นจะต้องระบบุชนิดของสัตว์ที่ใช้ สรรพคุณอื่นๆที่ใช้เฉพาะราย
                เรื่องของจำนวนยาทมี่มีนั้นยาที่ได้รับขึ้นทะเบียนที่ใช้ในสัตว์มีน้อยกว่ายาที่ขึ้นทะเบียนที่ใช้กับคน  เพราะว่าตลอดยาของสัตว์มีน้อยกว่ามาก  ทำให้ราคาของยาสัตว์นั้นมีราคาที่แพงกว่า  หลายคนจึงคิดว่านำยาคนมาใช้กับสัตว์  ตามจริงไม่สามารถทำได้เพราะว่าจะเป้ฯอัตรายกับสัตว์  ซึ่งเป้ฯคำถามต่อไป
ยาคนใช้กับสัตว์ได้หรือไม่
                แม้ว่ายาทุกตัวจะมีฤทธิ์ต่อคนและสัตว์เหมือนกัน  แต่การตอบสนองขางร่างกายคน  และสัตว์แตกต่างกัน  ยาบางชนิดมีพิษน้อยสำหรับคน  แต่มีพิษสำหรับสัตว์  เจ้าของจึงไม่ควรที่จะนำยามาใช้กับสัตว์โดยตรง  ควรได้รับความเห็นจากสัตวแพยท์ก่อน  ซึ่งการคิดขนาดยาของคนที่นำมาใช้ในสัตว์นั้น  จะต้องทำการศึกษากับสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  เพื่อทำการตรวจสอบและวิจับในการวัดประสิทธิภาพและความเป็นพิษยาคนในสัตว์  และทำการบันทึกและตีพิมพ์จนสามารถที่จะรวบรวมอ้างอิงได้  จะต้องมีคู่มือที่บอกวิธีใช้ในสัตว์
การเก็บรักษายาสัตว์
                ยาสัตว์ก็มีการเก็บรักษาที่ไม่แตกต่างไปจากยาคน  คือต้องเก็บรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีมีคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน  ควรอ่านคำแนพนำสำหรับการเก็ยรักษาส่วนใหญ่จะมีไว้ที่ข้างกล่อง  ยาบางตัวสลายตัวได้ง่ายเมื่อเจอกับแสงแดด  ความร้อน  ความชื้น  สถาณที่เก็บรักษาควรที่จะมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก  หรือว่าบาอย่างได้ระบุไว้ด้วย
                ปัจจัยที่ควรคำนึงในการเก็บรักษายา
                1. อุณหภูมิ  โดยที่อุณหภูมิเย็นหมายถึง 5 – 12 อางศาเซลเซียส  อุณหภูมิเย็นจัดคือ 2 – 5 องศสาเซลเซียส หากเป็นอุณภูมิห้องคือ  15 – 25 องศาเซลเซียส
                2. แสง  ตัวยาบางชนิดต้องเก็บให้พ้นจากแสง  จำเป็นที่จะต้องใส่ซองหรือว่ากล่องที่ทึบป้องกันแสงเข้าไปในยาได้
                3. ความชื้น  สำหรับความชื้อนั้นอาจจะทำให้ยาเสื่อมคุณภาพจำเป็นต้องเก็บบรรจุในแคปซูลเพื่อป้องกันความชื้นเข้าไปในตัวยาได้
                4. อายุของยา  จะมีบอกวักหมดอายเช่นเดียวกับยาที่ใช้กับคนที่ฉลากยา
                5. ฉลากของยา  ควรที่จะดูแลรักษาฉลากของยาไม่ให้เปื้อนหรือว่าฉีกขาดได้  เพราะว่าคราวหน้าจะได้มาอ่านและใช้ตามที่ระบุไว้
ยาแก้ปวดของคนสามารถใช้กับสัตว์เลี้ยงได้หรือไม่
                ยาที่ใช้กันเป็นประจำเพื่อลดไข้หรือเทาปวดในมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพาราเซตามอลหรือว่าแอสไพริน  เป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับมนุษย์นั้น  ยานี้สงผลทำให้เกิดความเป็นพิษหรือเป็นอัตรายถึงชีวิตได้  เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้  หากไม่ได้รับยาอย่างถูกต้องและถูกวิธี
                แอสไพรินเป็นยาที่ดีสำหรับลดไข้แมว  เนื่องจากยาแอสไพรินจะถูปเปลี่ยนแปลง  และขับออกย่างช้าๆ  ในร่างกายของแมวสามารถให้ได้เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับบรรเทาอาการปวดดังนั้นจึงควรนำแมวของท่านเข้ารับคำแนะนำจากสัตว์แพทย์  และไม่ควรป้อนยามรสัตว์เลี้ยงเอง  แต่แอสไฟรินมีปัญหากับทางสุนัข  คือเกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร  ดังนั้นควรให้ยาหลังอาหารทันที
                สำหรับยาพาราเซตามอล  แมวจะไวต่อความเป็นพิษของพาราเซตามอลมากกว่าสุนัข  โดยขนาดยาเพียง 45 มก./กก.  ของน้ำหนักตัวก็เป็นพิษแล้ว  เนื่องจากแมวขาดเอนไซม์ที่ใช้เปลี่ยนแปลงยาทำให้เกิดพิษขึ้น  จะทำให้เกิด  อาการ  อาเจียน  หายใจไม่ออก  หน้าบวม และเกิดอาการอื่นๆ  จนทำให้ตายได้  สำหรับสุนัขหากรับยาเกิน  250 มก./กก  ต่อน้ำหนักตัว  อาจจะทำให้เกิดภาวะตับ  หรือว่าไตมีปัญหาได้  ดังนั้นแล้วไม่ควรให้ยาพาราเซตามอลทั้งสุนัขและแมว
http://www.xn--72c2azblnq3c2a1h6dtb.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87/
http://www.nupet.org/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%86/173-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87.html

1 ความคิดเห็น:

  1. pgสล็อต สล็อตออนไลน์ เว็บตรง แตกง่าย จุดเริ่มของพวกเรานั้นพวกเราก็จำเป็นต้องขอย้อนไปในช่วงเวลาที่พวกเรานั้นยังปฏิบัติงานประจำอยู่เลย pg slot ช่วยให้ท่านได้สนุกไปกับเรา

    ตอบลบ