วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

หนูแฮมเตอร์

สายพันธุ์ เจ้าหนูแฮมสเตอร์

รู้จักสายพันธุ์ เจ้าหนูแฮมสเตอร์



หนูแฮมเตอร์ สายพันธุ์ Syrian hamster


หนูแฮมเตอร์ สายพันธุ์ Winter White hamster


หนูแฮมเตอร์ สายพันธุ์ Campbells hamster


หนูแฮมเตอร์ สายพันธุ์ Chinese hamster


หนูแฮมเตอร์ สายพันธุ์ Roborovski hamster


รู้จักสายพันธุ์ เจ้าหนูแฮมสเตอร์

          หนูแฮมเตอร์ (Hamster Rat) แบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิด คือ

          1. แฮมสเตอร์ไม่แคระ คือ พันธุ์ Syrian บางคนก็เรียกว่า Golden Hamster
          2. แฮมสเตอร์แคระ คือพันธุ์ Winter White, พันธุ์ Campbells, พันธุ์ Chinese และ พันธุ์ Roborovski

 Winter White กับ Campbells

          แฮมสเตอร์พันธุ์ Winter White และ พันธุ์ Campbells จะมีลักษณะคล้ายกันมาก จนแยกได้ค่อนข้างยาก ว่าเป็นพันธุ์อะไร โดยเฉพาะ Campbells สีธรรมดา และ Winter White สีธรรมดา จะดูยากมาก

          ทั้งนี้ หนูแฮมสเตอร์พันธุ์ Campbells และพันธุ์ Winter White มีความคล้ายกันมาก เดิมนักวิทยาศาสตร์ เคยจัด Campbells และ Winter White เป็น สปีชีย์ เดียวกัน แต่ต่อมาก็ได้พบความแตกต่าง ของทั้ง 2 พันธุ์นี้ และได้แยกทั้ง 2 พันธุ์นี้ออกจากกันเป็นคนละสปีชีย์ โดยจัด Winter White เป็นสปีชีย์ Sungorus ส่วน Campbell เป็นสปีชีย์ Campbell 

          อย่างไรก็ตาม แม้จะดูภายนอกคล้ายกัน แต่ทั้ง 2 พันธุ์นี้จะแตกต่างกัน จึงไม่ควรจะนำมาผสมข้ามพันธุ์กัน ว่ากันว่า 2 พันธุ์นี้ สามารถจะผสมกันได้ เพราะมีความใกล้เคียงกันสูง จำนวนโครโมโซมก็เท่ากัน แต่ไม่แนะนำให้ผสมข้ามพันธุ์ เพราะจะทำให้ลูกที่เกิดมามีโอกาสพิการ หรือผิดปกติสูง

 แล้วเวลาซื้อ จะรู้ได้อย่างไร ว่าตัวไหนเป็น Campbells หรือ Winter White

           ที่พอจะสังเกตุข้อแตกต่างได้ ก็คือ Campbells จะมีลายพาดบนหลังเส้นเดียวชัดเจนกว่า ส่วนลายด้านข้างๆ ก็จะไม่ชัดเท่า Winter White  แต่ไในเมืองไทยตอนนี้สายพันธุ์ Campbells ยังไม่แพร่หลายมากนัก แม้จะมีการนำเข้ามาบ้างแล้ว แต่เท่าที่เห็นก็มีเพียงสีขาวตาแดงเท่านั้น จึงดูง่าย ไม่สับสน

          แฮมสเตอร์แต่ละสายพันธุ์ จะมีนิสัยที่แตกต่างไปอีกด้วย เช่น Syrian จะเป็นแฮมสเตอร์ที่รักสันโดษ มักจะกัดกัน แต่แฮมสเตอร์แคระ จะสามารถอยู่รวมกันเป็นคู่ หรือหลายตัวได้ แต่ก็มักจะมีการกัดกันบ้างเหมือนกัน เช่น เมื่อมีหนูตัวอื่นบุกรุกมาในถิ่นของตน เป็นต้น






แฮมสเตอร์นอนกลางวัน ตื่นกลางคืน

     เพราะ ตามธรรมชาติแล้วเค้าจะมีถิ่นกำเนิดอยู่ ในเขตทะเลทรายค่ะ กลางวันอากาศในทะเลทรายจะสูงมาก เค้าจะหลบนอนเพื่อเก็บแรงไว้ พอตอนกลางคืน เมื่ออุณหภูมิต่ำลง เค้าจะออกมาหาอาหาร โดยจะตุนอาหารไว้กินตอนกลางคืน เพราะเหตุนี้ แฮมสเตอร์จึงต้องมีกระพุ้งแก้มเป็นแบบพิเศษที่สามารถใช้กักตุนอาหาร และนอนตอนกลางวัน

     เวลาเราพยายามปลุกเค้าขึ้นมาเล่นด้วย เค้าอาจจะขู่ค่ะ เพราะเวลาเรานอนถ้าใครมารบกวนบางทีเรายังหงุดหงิดเลยใช่ไหมคะ เค้าก็เหมือนกัน แต่พอตกเย็นนะ เค้าจะร่าเริงซุกซนผิดกับตอนกลางวันเลย แฮมสเตอร์จึงเหมาะกับคนที่ต้องออกไปทำงาน ออกไปเรียน และนอนค่อนข้างดึก ( ไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีเวลาว่างอยู่กับบ้านทั้งวัน เข้านอนแต่หัวค่ำ และอยากหาเพื่อนเล่นตอนกลางวันค่ะ เพราะเวลาเราตื่นเค้าจะนอน แต่เวลาเรานอนเค้าจะตื่น )

 แฮมสเตอร์ตัวเล็กและต้องการที่แค่นิดเดียวค่ะ 
   แฮมสเตอร์หรือเจ้าตัวน้อยๆจอมซุกซน  เค้าตัวเล็กนิดเดียวเองค่ะ ไม่ต้องใช้ที่มากๆในการเลี้ยง แต่ต้องการการดูแลมากเหมือนกันค่ะ ควรจะเลือกสถานที่ตั้งกรงที่เงียบๆ ไม่มีเสียงดัง และควรจะเลือกที่ๆ ห่างจากที่นอนมากพอสมควรค่ะ เพราะตอนกลางคืนซึ่งเรากำลังนอน เค้าจะอยู่ไม่สุข วิ่งไปมา กัดแทะโน่นนี่ไปเรื่อย วิ่งหมุนบนกรงล้อด้วย บางทีก็จะมีเสียงกรงล้อกระทบกรงบ้าง รวมทั้งอาจจะมีเสียงเค้าทะเลาะกันให้รำคาญเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ก็เลยไม่ค่อยเหมาะเท่าจะเลี้ยงไว้ข้างเตียงนอนค่ะ อาจจะไว้ที่ระเบียงที่มีกันสาดกันแดดกันฝน กันลมโกรกก็ได้ค่ะ ถ้าจะให้ดีก็ควรจะเลือกตั้งกรงไว้ในที่แสงไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป

 แฮมสเตอร์ราคาถูกมาก หาซื้อได้โดยไม่ยากเลย

     แฮม สเตอร์ธรรมดา ราคาตัวละไม่ถึง 100 บาท ส่วนแฮมสเตอร์แคระจะมีราคาตั้งแต่ 150 บาทขึ้นไปจนถึง 350 บาท แล้วแต่สีและพันธุ์ค่ะ ดังนั้นเราจึงสามารถจะหาซื้อมาได้โดยไม่โหดร้ายกับกระเป๋าตังก์เรานัก แต่สิ่งที่แพงไม่ใช่ตัวแฮมสเตอร์ค่ะ แต่เป็นอุปกรณ์เสริมทั้งหลาย ตั้งแต่ กรง ขวดน้ำ กรงล้อหมุนสำหรับออกกำลังกาย และของเล่นต่างๆ

   ส่วนอาหารนั้น แฮมสเตอร์กินอาหารไม่จุค่ะ อาหาร 1 กิโลกรัมกินได้เป็นเดือนๆ แถมอาหารก็ยังหาง่ายหลากหลายไม่เรื่องมาก
 แฮมสเตอร์กัดนิ้วเลือดไหลได้เหมือนกันนะ
       แฮม สเตอร์สามารถจะกัดเราให้เลือดออกได้เหมือนกันค่ะ แต่อย่าเพิ่งตกใจค่ะ เค้าไม่กัดคนไปทั่วหรอกค่ะ ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีนิสัยแตกต่างกันออกไป บางตัวอาจจะดุเหมือนกัน บางตัวอาจจะไม่กัดใครเลยก็มีค่ะ โดยเฉพาะตัวที่เชื่องกับเรา เพราะหนูแฮมสเตอร์บางตัวได้รับการดูแล หรือการจับอย่างไม่ถูกต้องจากร้านขายสัตว์เลี้ยง จึงทำให้มีนิสัยก้าวร้าว ซึ่งเวลาที่เราไปเลือกซื้อหนูแฮมสเตอร์ให้ลองเอานิ้วแหย่ลงไปค่ะ เค้ามักจะวิ่งมาหามือเราเพราะคิดว่ามีอาหาร บางตัวก็จะไต่ขึ้นมา ให้เราดูว่าตัวที่วิ่งมาหา บางตัวจะกัด บางตัวจะขออาหารเฉยๆ ถ้าตัวไหนจะกัดมือก็อย่าซื้อตัวนั้น ให้เลือกตัวที่ไม่กัดค่ะ
 แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่ชอบกัดแทะ
       แฮม สเตอร์จะฟันยาวออกมาเรื่อยๆ เค้าจึงมักจะแทะโน่นแทะนี่เพื่อลับฟันเสมอ ดังนั้นการเลี้ยงจึงต้องคอยระวังสายไฟ และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆด้วยค่ะ นอกจากนี้เค้ายังชอบคุ้ยเขี่ยอีกด้วย บางทีก็จะเตะเอาวัสดุปูพื้นเช่นขี้เลื่อยออกมานอกกรง ทำให้เราเลยพลอยต้องเก็บกวาด รอบๆกรงเค้าด้วยเหมือนกันค่ะ

 แฮมสเตอร์จ้าวแห่งการหลบหนี
       แฮม สเตอร์จะชอบสำรวจ และพยายามหลบหนีทุกครั้งที่มีโอกาสค่ะ และเนื่องจากเค้าตัวเล็ก เวลาหลบหนีออกไปแล้ว เราจะหาเค้าได้ยากมาก ดังนั้นต้องหมั่นตรวจทุกครั้งว่ากรงปิดสนิทหรือไม่ มีช่องให้เค้าหลบหนีหรือเปล่า

 แฮมสเตอร์ตัวเล็ก ไม่สามารถจะกอดเล่นได้
      สอน ให้เรียนรู้อะไรๆได้ยาก ไม่สามารถจะกอดเล่นได้ เพราะ  เค้าตัวเล็ก และอยู่ไม่สุข ซุกซน และเวลาเรียกชื่อเค้าจะไม่วิ่งเข้ามาหาค่ะ

 แฮมสเตอร์อายุขัยสั้นค่ะ
      เค้า มีอายุไขสั้น อยู่ได้มากสุดประมาณ 3 ปี ซึ่งก็ต้องทำใจไว้ค่ะ หากเพื่อนๆเกิดรักและผูกพันธ์กับเค้า ก็ต้องเผื่อใจไว้ค่ะ ว่าเราจะรับได้ไหมกับชีวิตน้อยๆที่เข้ามาให้ความสุขกับเราและอยู่กับเราได้ เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ

 แฮมสเตอรไม่มีกลิ่นแรงมาก
      เพราะ เค้าจะหมั่นทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ จึงไม่จำเป็นต้องอาบน้ำให้เค้าบ่อย แต่เราก็ควรจะหมั่นเปลี่ยนวัสดุปูพื้นกรงด้วยค่ะ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

 แฮมสเตอร์สามารถจะอยู่เองได้ ถ้าเราต้องไปไหนมาไหนบ่อยๆ เช่นวันหยุด
      หาก เราทิ้งอาหารและน้ำให้เค้าไว้ได้พอเพียง เราสามารถจะทิ้งเค้าไว้ตามลำพัง 1-2 วันได้อย่างสบายๆ แต่ทางที่ดีควรหาแฮมสเตอร์อีกตัวมาอยู่เป็นเพื่อนเค้าก็จะดีค่ะ เค้าจะได้ไม่เหงา

 แฮมสเตอร์พันธุ์ต่างๆก็มีผลกับการเลี้ยงนะ


     ถ้าเป็นพันธุ์ Syrian แฮมสเตอร์ เค้าจะรักสันโดษ จะเลี้ยงได้เพียง กรงละ 1 ตัว (ยกเว้นจะเลี้ยงด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ) ซึ่งถ้าเราต้องการเลี้ยงหลายๆตัว โดยไม่อยากจะซื้อกรงและอุปกรณ์อีกชุดหนึ่ง ควรจะเลือกพันธุ์อื่นค่ะ คือพันธุ์ Russian Dwarf แฮมสเตอร์ ซึ่งสามารถจะเลี้ยงรวมกันหลายๆตัวได้ แต่ต้องเลี้ยงร่วมกันก่อนอายุ 2 เดือนค่ะ
 แฮมสเตอร์จะไม่ค่อยป่วย
      หนู แฮมสเตอร์จะไม่ค่อยเจ็บป่วยค่ะ แต่หมอที่ชำนาญในการรักษาสัตว์ตัวเล็กๆอย่างแฮมสเตอร์มีน้อยค่ะ และบางทีค่ารักษาพยาบาลแฮมสเตอร์ ก็อาจจะแพงกว่าราคาหนูแฮมสเตอร์ซะอีก ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว เราจะยอมจ่ายค่ารักษาเค้าไหม ถ้าคิดว่าไม่ ก็ขอแนะนำว่าไม่ควรเลี้ยงค่ะ เพราะโอกาสที่เค้าจะเจ็บป่วยก็มีเหมือนกัน
 แฮมสเตอร์จะไม่ส่งเสียงดังรบกวน สามารถจะแอบเลี้ยงตามอาพาร์ตเมนต์ หรือแมนชั่นก็ได้ค่ะ
      เพราะ เค้าไม่ร้องเสียงดัง รบกวนใคร ไม่ร้องพร่ำเพรื่อหรือบ่อยเกินไป แต่ตอนกลางคืนอาจจะมีเสียงรบกวนบ้างเล็กน้อยเช่น เสียงวิ่งบนกรงล้อออกกำลังกาย เสียงร้องขู่กัน ( ไม่ดังมาก ) เสียงกัดแทะ คุ้ยข่วนหรือเขี่ย



 เทคนิคการเลือกซื้อแฮมสเตอร์  
แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อแฮมสเตอร์ อยากให้เพื่อนๆ คลิ๊กเข้าไปอ่านข้อดีข้อเสียของแฮมสเตอร์ที่นี่ก่อนค่ะ เพื่อ ให้แน่ใจว่า แฮมสเตอร์เหมาะกับเราจริงๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าอยากจะเลี้ยงเค้าจริงๆแล้ว ก็มาเริ่มกันเลย มาดูเทคนิคการเลือกซื้อแฮมสเตอร์กัน

 ควรเลือกซื้อตอนช่วงเย็นๆ

    พยายาม เลือกซื้อแฮมสเตอร์ในช่วงเวลาเย็นๆค่ะ เพราะแฮมสเตอร์จะนอนกลางวัน เค้าจะงัวเงียทำให้ดูยากว่าป่วยหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นช่วงตอนเย็นเค้าจะคึกคัก วิ่งไปมา ทำให้เราเลือกง่ายกว่า

 ควรจะเลือกแฮมสเตอร์ที่สุขภาพดีคือ

     แฮมสเตอร์ควรจะสะอาด ขนต้องสะอาด ไม่มีอุจาระเปื้อนหรือกลิ่นเหม็นผิดปกติ
     ไม่ผอมผิดปกติ ไม่ซึม
     ต้องไม่มีบาดแผล ทั้งตัวและนิ้วเท้า
     หูต้องสะอาดทั้งด้านในและนอก
     ตาต้องสดใส และสะอาด

 ควรจะเลือกแฮมสเตอร์ที่อายุระหว่าง 4-7 สัปดาห์
     เพราะเชื่องง่าย ถ้าเราเลี้ยงเค้าตั้งแต่เล็กๆ

 เลือกตัวผู้หรือตัวเมียดี
    เหมือนกันค่ะ ตัวผู้หรือตัวเมียนิสัยไม่ได้แตกต่างกันค่ะ

 จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย
     ลองเข้ามาดูได้ คลิ๊กที่นี่ค่ะ
 เลี้ยงหลายตัวได้หรือไม่

       อาจ จะเลี้ยงแฮมสเตอร์มากกว่า 1 ตัวในกรงได้แต่ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของ Hamster ด้วย ถ้าเป็น Dzungarian Dwarf hamsters หรือ short dwarf hamsters และ Russian hamsters แล้วล่ะก็เค้าเป็นสัตง์สังคมพอสมควรเลยค่ะ สามารถจะเลี้ยงไว้ด้วยกันได้ ซึ่งเราอาจจะเลี้ยง 1-2 ชนิดนี้ไว้ด้วยกันก็ยังได้ แต่ทางที่ดีควรจะเริ่มเลี้ยงเค้าไว้ด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ , ซึ่งแฮมสเตอร์อื่นๆทุกชนิดควรจะแยกกันเลี้ยง เพราะเค้าจะหวงเขตแดนของเค้ามากค่ะ

 เลือกแฮมสเตอร์ที่ไม่กัด

       ซึ่ง เวลาที่เราไปเลือกซื้อหนูแฮมสเตอร์ให้ลองเอานิ้วแหย่ลงไปค่ะ เค้ามักจะวิ่งมาหามือเราเพราะคิดว่ามีอาหาร บางตัวก็จะไต่ขึ้นมา ให้เราดูว่าตัวที่วิ่งมาหา บางตัวจะกัด บางตัวจะขออาหารเฉยๆ ถ้าตัวไหนจะกัดมือก็อย่าซื้อตัวนั้น ให้เลือกตัวที่ไม่กัดค่ะ

 อย่าใส่กล่องกระดาษกลับบ้าน ถ้าต้องเดินทางนานๆ
    เวลาที่เราซื้อแล้ว ร้านขายสัตว์เลี้ยงอาจจะเอาแฮมสเตอร์ใส่กระกระดาษให้เรานำกลับบ้าน แต่ถ้าเราต้องใช้เวลาเดินทางนาน แฮมสเตอร์อาจจะกัดแทะทะลุกล่องออกมา และหลบหนีหายไปได้ เราควรจะขอผู้ขายให้เปลี่ยนจากกล่องกระดาษมาใส่ในภาชนะพลาสติกแทน เช่นตอนที่เราซื้อ ผู้ขายก็เอาแฮมสเตอร์ใส่ขวดน้ำพลาสติกที่ตัดครึ่งขวด โดยไม่มีฝาปิด ใส่แฮมสเตอร์ให้พร้อมทั้งปูขี้เลื่อยที่ก้นขวดให้ด้วย




    วิธีดูเพศแฮมสเตอร์  
 จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย
    ถ้าหนูที่เราซื้อยังเป็นเล็กอยู่ จะดูค่อนข้างยากค่ะ ถ้าเป็นตัวเมียจะมีระยะห่างระหว่างรู 2 รู คือ รูปัสสาวะและก้น ชิดกันมากกว่าตัวผู้ แต่ถ้าโตแล้วจะดูง่ายหน่อย ซึ่ง 2 ภาพด้านล่างคือภาพของหนูที่โตแล้วค่ะ จะเห็นว่าในหนูตัวผู้จะมีถุงอัณฑะห้อยลงมาอย่างชัดเจน
หนูตัวเมีย
หนูตัวผู้

จะเห็นว่าระยะห่างระหว่างรู 2 รู คือ รูปัสสาวะและก้นจะมากกว่าตัวเมีย และจะมีถุงอัณฑะห้อยลงมาชัดเจน

น่ารู้เกี่ยวกับแฮมสเตอร์  
เพื่อนๆหลายคนอาจจะกำลังเลี้ยงแฮมสเตอร์อยู่ แต่เพื่อนๆรู้จักรายละเอียดของเจ้าตัวน้อยดีแค่ไหน จะพาเพื่อนๆมารู้จักกับส่วนต่างๆ ของน้องแฮมกันค่ะ

 ตา

รู้ หรือเปล่าว่าตาของแฮมสเตอร์ มองเห็นได้ไม่ค่อยดี เพราะสรีระของตาที่กลมโตและโปนออกมา ทำให้เค้าไม่สามารถจะมองเห็นได้ดีค่ะ จะมองเห็นได้ดีเฉพาะด้านข้าง และไกลๆ โดยจะสามารถมองเห็นได้ในองศาที่กว้างกว่าตาคน แต่ไม่เห็นในระยะใกล้มาก ตรงข้างหน้า ทั้งนี้ก็เพราะตามธรรมชาติเค้าจะต้องระวังศัตรู ผู้ล่าต่างๆค่ะ

 หู

รู้ หรือเปล่าว่าหูของแฮมสเตอร์ ดีมากๆ ผิดกับตาเลย เค้าจะสามารถได้ยินเสียงได้กว้างมาก รวมทั้งเสียงที่มีความถี่ระดับ อุลตราโซนิคเลยทีเดียว ทำให้เค้าสามารถจะสื่อสารกันได้ โดยที่สัตว์อื่นไม่ได้ยินเลย ซึ่งมีประโยชน์มากเวลาที่มีศัตรูมา ตามธรรมชาติ

 จมูก

รู้ หรือเปล่าว่าจมูกของแฮมสเตอร์ ดีมากๆ เช่นกัน พวกเค้าแยกแยะกันเองว่าใครเป็นใครก็จากกลิ่นนี่แหละ พวกเค้าสามารถผลิตกลิ่นเฉพาะตัวออกมา จากต่อมที่เรียกว่า Scent Grand เพื่อใช้ในการบอกว่าใครเป็นใคร และใช้กำหนดอาณาเขตส่วนตัวอีกด้วย ถึงขนาดว่าสามารถแยกแยะเพศจากกลิ่นได้เลยทีเดียว และก็เพราะตาเค้าไม่ค่อยดี เค้าจึงแยกแยะกันด้วยกลิ่น ด้วยเหตุนี้ หากเพื่อนๆ เล่นหรือจับเค้าบ่อย เค้าก็จะจำได้ว่าเราเป็นเจ้าของ แต่มีข้อควรระวังนิดนึงคือ หากเพื่อนๆต้องการจะเล่นกับเค้า ควรจะล้างมือให้สะอาด หมดกลิ่นก่อนเล่นกับเค้าทุกครั้งค่ะ เช่นหากมือเรามีกลิ่นอาหาร เค้าก็จะไม่รู้ นึกว่าเป็นของกิน ก็อาจจะกัดเราโดยไม่ได้ตั้งใจได้ หรืออีกกรณีก็คือ หากเราไปเล่นกับแฮมสเตอร์ตัวอื่นมา กลิ่นของแฮมสเตอร์ตัวก่อนหน้านี้ ก็อาจจะติดมือเรามา และกลบกลิ่นมือเดิมของเรา ทำให้เค้าแยกแยะไม่ออก และกัดได้เหมือนกันค่ะ

 แก้มป่องๆ

รู้ หรือเปล่าว่าแก้มของแฮมสเตอร์ พิเศษ ไม่เหมือนใคร เค้าสามารถจะตุนอาหารไว้ที่แก้มได้เลยนะ เราเรียกแก้มเค้าว่า "Pouch" ซึ่งแปลว่า ที่ใส่ของ เช่นกระเป๋าอย่างหน้าท้องจิงโจ้ ซึ่งจะมีประโยชน์มาก ช่วยให้แฮมสเตอร์สามารถกักตุนอาหารตอนกลางคืน มาไว้ยังรังได้ เพราะช่วงกลางวันทะเลทรายจะร้อน หรืออย่างในช่วงหน้าหนาว ที่อาหารหรือพืชขาดแคลน แก้มแบบพิเศษนี้ก็จะช่วยให้แฮมสเตอรสามารถกักตุนอาหารได้ง่ายขึ้น และชื่อเรียกว่า แฮมสเตอร์ ก็มีที่มาจากคำว่า "Hamper" ซึ่งแปลว่าสะสม กักตุน นั่นเอง

เมื่อแฮมสเตอร์ต้องการจะเอาอาหารที่ตุนไว้ออกมาจาก แก้ม เค้าก็จะใช้เท้าหน้าเล็กๆ ค่อยๆดันอาหารจากข้างในแก้มออกมา ซึ่งแก้มแบบพิเศษนี้ จะสามารถเก็บอาหารไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะไม่มีน้ำลายหรือกระบวนการย่อยใดๆ เกิดขึ้นที่แก้มนี้ ทำให้เค้าสามารถจะเก็บอาหารไว้ได้ อย่างสดและแห้งสนิทเลยทีเดียว ซึ่งแก้มนี้ยังมีเนื้อเยื่อที่มากั้นไม่ให้อาหารที่ตุนอยู่ ตกลงไปยังปากได้อีกด้วย

 หนวด
หาก เพื่อนๆลองมองใกล้ๆ จะเห็นว่าแฮมสเตอร์มีหนวดเส้นยาวๆเต็มเลย หนวดนี้จะมีประโยชน์เหมือนกับเป็นเซนเซอร์ช่วยบอกทิศทาง และ ก็ยังช่วยในการสำรวจวัตถุที่อยู่นอบๆเค้าอีกด้วยค่ะ มีประโยชน์มากในการเดินทางตอนกลางคืน




  
    วันนี้ มีเรื่องการนำสัตว์เลี้ยงขึ้น เครื่องบิน มาฝากเพื่อนๆ ค่ะ
การขนส่งสัตว์เลี้ยงทางเครืองบิน ภายในประเทศ
เรื่องนี้เนื่องจากมีเพื่อนๆหลายๆคน เมลล์มาถาม
ทางเว็บก็เลยติดต่อสอบถามข้อมูลเหล่านี้ มาให้เพื่อนๆ ค่ะ เช่น เพื่อนๆ ต่างจังหวัด จะได้มีโอกาสหาสัตว์เลี้ยง จากกรุงเทพ มาครอบครอง หรือ เพื่อนๆ ที่อยุ่กรุงเทพเกิดไปง เจ้าตัวน้อยที่ต่างจังหวัด หรือจะพาขึ้นเครื่องไปที่ไหน จะได้พาไปได้เนอะ
เรื่องการส่งสัตว์ข้ามจังหวัด ภายในประเทศ เช่น กรุงเทพไปต่างจังหวัด หรือ ต่างจังหวัด มายังกรุงเทพ เขาทำกันยังไง การส่งสัตว์เลี้ยงภายในประเทศ ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องยากเลย และไม่ต้องใช้เอกสารอะไรที่ยุ่งยากค่ะ วันนี้จะนำเรื่องนี้มาฝากเพื่อนๆค่ะ พูดง่ายๆคือ ใครๆก็ทำได้ ขอแค่มีบัตรประจำตัวประชาชน เท่านั้นก็พอค่ะ
การส่งสัตว์เลี้ยงมีชีวิต สามารถจะทำได้ โดยถ้าเป็นที่กรุงเทพ สามารถจะติดต่อส่งสัตว์เลี้ยงได้ที่
1. agency ของการบินไทย ที่หลานหลวง
2. Airport การบินไทย ที่ท่าอากาศยาน ดอนเมือง
ทางเว็บได้สอบถามข้อมูลนี้มาจากเจ้าหน้าที่ บริษัทตัวแทนของการบินไทยค่ะ
การส่งสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ จะเป็นสุนัข และแมว กระต่ายก็มีบ้าง แกสบี้นั้น(เราเองเคยส่งค่ะ ไม่มีปัญหา) แต่ถ้าเป็น hamster นั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่แน่ใจค่ะ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า "คิดว่า น่าจะส่งได้" (อย่างไร ถ้าใครจะส่งให้ลองโทรไปสอบถามอีกทีนะคะ ถ้าใครจะส่ง hamster )
 เอกสาร

ก็ ไม่มีอะไรมากค่ะ เตรียมบัตรประชาชนไปก็พอค่ะ โดยให้ไปก่อนรอบเครื่องออก 2 ชั่วโมงค่ะ เพื่อนๆ สามารถจะตรวจสอบรายละเอียดเที่ยวบินได้จากที่นี่ค่ะ
http://www.thaicargo.com/timeset.htm
 การเตรียมตัวสำหรับสัตว์เลี้ยง
ต้องมีการ Packing ดีๆ ค่ะ มีกรงที่แข็งแรง (ถ้ามีใบรับรองจากสัตวแพทย์ก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่มีปัญหาค่ะ )
(การ ให้น้ำสัตว์เลี้ยงนั้น ตามกฏเจ้าของจะต้องน้ำให้ก่อนเครื่องออก 2 ชม  หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้เอง ) และจะต้องจ่าหน้าผู้รับ ผู้ส่งให้ถูกต้องตามหน้าบัตรประชาชนค่ะ และระบุเบอร์โทรผู้รับปลายทาง และเบอร์โทรของผู้ส่งที่ต้นทางให้เรียบร้อย
ย้ำนะคะ ว่า ชื่อและนามสกุลจะต้องถูกต้อง มิฉะนั้น ผู้รับอาจจะไม่สามารถรับสัตว์เลี้ยงได้ค่ะ

หลัง จากนั้นก็จะผ่านการชั่งน้ำหนักค่ะ โดยจะมีการคิดค่าระวางตามน้ำหนัก  โดยจะชั่งพร้อมกันทั้งสัตว์เลี้ยงและกรงค่ะ กิโลกรัมละประมาณ 30 บาท
เรื่องค่าระวางนั้น ตรวจสอบได้จากที่นี่ค่ะ http://www.thaicargo.com/freightset.htm
แล้วสัตว์เลี้ยงก็จะถูกโหลดเข้าใต้เครื่องค่ะ โดยสิ่งมีชีวิตจะแยกอยู่คนละห้องกับห้องสัมภาระ ซึ่งที่ห้องที่สัตว์เลี้ยงอยู่ จะอุณหภูมิคงที่ และเย็นกว่าห้องสัมภาระ คือ อุณหภูมิจะเหมาะสม และ ไม่ร้อนค่ะ
 ความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยง

เจ้าหน้าที่ไม่โยนกรงที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว จะมีพนักงานที่พยายามดูแล
และเจ้าของสามารถ claim หรือเรียกค่าเสียหาย หากมีปัญหากับสัตว์ลี้ยงตามที่ระบุไว้ที่หน้าเอกสาร
ทีนี้ขั้นตอนการส่งโดยรวมก็คือ
 ผู้ส่ง

ผู้ ส่งก็เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน และการPacking สัตว์เลี้ยงไว้ในกรงที่แข็งแรง เมื่อผู้ส่งทำการส่งสัตว์เลี้ยงเรียบร้อยพร้อมทำการชำระค่าระวางแล้ว เจ้าหน้าที่จะมีเอกสารให้ผู้ส่งเก็บเป็นหลักฐาน ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดว่า สัตว์เลี้ยงนี้ จะถึงวันไหน เที่ยวบินอะไร เช่น TG221 ถึงปลายทางเชียงใหม่ ตอน 17.00 น. ก็ให้โทรบอกผู้รับที่ปลายทาง ให้มารับโดยบอกเวลาที่เครื่องจะถึง แล้วให้ผู้รับจดเที่ยวบิน และให้ผู้รับเอาบัตรประชาชนมาเป็นหลักฐานในการรับ
เพื่อนๆ สามารถจะดูรอบเพื่อส่งสัตว์เลี้ยงได้จากที่เว็บไซต์นี้ ค่ะ http://www.thaicargo.com/timeset.htm
เช่น ภาคเหนือ ก็ให้เข้าไปเลือก"เที่ยวบินขาออก" ซึ่งจะบอกเที่ยวบิน และเวลาเครื่องออก และเวลาเครื่องลงให้ครบหมด แถมมีบอกเบอร์โทรให้อีกต่างหาก ก็ให้ผู้ส่งไปก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมงค่ะ เพราะว่าเค้าจะปิดรับก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมง


ส่วนผู้รับ

ให้สอบถามรอบจากผู้ส่ง และจดเที่ยวบินไว้ และนำบัตรประชาชนมาเพื่อเป็นหลักฐานในการรับสัตว์เลี้ยง (ดังนั้นในการจ่าหน้าของผู้ส่ง ต้องระบุชื่อผู้รับให้ตรงกับบัตรประชาชนของผู้รับค่ะ จะได้ไม่มีปัญหา ในการรับ)
ใน กรณีที่ไม่สะดวกมาเอง ให้ผู้อื่นถือบัตรประชาชนของ ท่านมารับสัตว์เลี้ยงแทนท่านได้ (สำหรับกรณีรับแทน ให้เขียนใบมอบฉันทะมาด้วยก็ดีค่ะ)
และเมื่อมารับสัตว์เลี้ยง เจ้าหน้าที่จะออกเอกสารไว้เป็นหลักฐานการมารับสัตว์เลี้ยงของท่าน
ผู้รับเองก็สามารถจะดูรอบได้จากเว็บเดียวกันเลยค่ะ แต่จะติดต่อรับของได้หลังจากเครื่องลงแล้ว 1 ชั่วโมงค่ะ
 หากผู้ใด สนใจในรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ไหน
หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
1. ตัวแทนรับส่งพัสดุภัณท์ภายในประเทศ (หลานหลวง) ตั้งโดยเป็นทางการโดยการบินไทย 02-628-0004-5 FAX: 02-628-0006 ตั้งอยู่ที่ หลานหลวง เปิดบริการ 8.00-17.30 น. วันจันทร์ - ศุกร์
2. Airport การบินไทย คลังสินค้าภายในประเทศ ตั้งอยู่ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ส่วน Cargo (ส่งได้ตลอด 24 ชม Airport)

 กรณีการโทรสอบถามว่าสัตว์เลี้ยงถึงปลายทางหรือยังติดต่อที่

ขาเข้า(ภายในประเทศ) 02-535-2077, 05-5353821 (สอบถามกรณี ส่งจากต่างจังหวัดมากรุงเทพ)
ขาออก(ภายในประเทศ) 02-535-2078, 02-5354819 (สอบถามกรณี ส่งจากกรุงเทพ ไปต่างจังหวัด)
Fax Airport : 02-535-6257
ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ ตัวแทนรับส่งพัสดุภัณท์ภายในประเทศ (หลานหลวง) สำหรับข้อมูลพิเศษนี้ค่ะ :)


 การขนส่งสัตว์เลี้ยงทางเครืองบิน กับต่างประเทศ

ก่อน อื่น เราควรจะทราบกฏกระทรวง เรื่องการนำเข้านำออก กันก่อนดีกว่าค่ะ ข้อมูลนี้ ทางเว็บได้รับอนุญาตในการเผยแพร่อย่างเป็นลายลักษณ์ อักษร จากกรมปศุสัตว์ (www.dld.go.th )
กฎกระทรวง
ว่าด้วยการนำเข้า นำออก หรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์
พ.ศ. ๒๕๔๔

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติ โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัด สิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งตามมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๑๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙
ข้อ ๒ การนำเข้า นำออก หรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ให้ปฏิบัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้
หมวด ๑
การนำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร

ข้อ ๓ ผู้ใดประสงค์จะนำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ยื่นคำขอต่อสัตวแพทย์ประจำท่าเข้านั้น เว้นแต่จะนำเข้าทางอื่นซึ่งมิใช่ท่าเข้า ให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
(๒) การยื่นคำขอ ให้ยื่นก่อนนำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร ไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่ถ้าเป็นสัตว์หรือซากสัตว์ที่นำติดตัวเข้ามา จะยื่นคำขอขณะนำสัตว์หรือซากสัตว์นั้น เข้ามาก็ได้
(๓) หากผู้ขอนำเข้าประสงค์จะนำสัตว์หรือซากสัตว์ไปยังสถานกักกันสัตว์หรือ ที่พักซากสัตว์ที่มิใช่ของกรมปศุสัตว์ สถานกักกันสัตว์หรือที่พักซากสัตว์นั้นจะต้องได้รับการตรวจรับรองตามระเบียบ ของกรมปศุสัตว์
ข้อ ๔ เมื่อสัตวแพทย์ประจำท่าเข้ารับคำขอและตรวจเอกสารหรือหลักฐานประกอบ การนำเข้าตามข้อ๓ถูกต้องแล้วให้พิจารณาว่าสัตว์หรือซากสัตว์นั้นต้องไม่ได้ มาจากท้องที่ที่มีหรือสงสัยว่ามีโรคระบาด แล้วจึงเสนอต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเพื่อพิจารณาออกใบแจ้งอนุมัติ นำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักรพร้อมเงื่อนไขการนำเข้า (Requirement) ตามที่กรมปศุสัตว์กำหนด
ข้อ ๕ ให้ผู้นำเข้าที่ได้รับใบแจ้งอนุมัตินำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร แจ้งยืนยันรายละเอียดการนำเข้าต่อสัตวแพทย์ประจำท่าเข้าเกี่ยวกับ
(๑) วัน เวลา ที่นำเข้า และ
(๒) เที่ยวบิน เที่ยวเรือ หรือเที่ยวขบวนรถไฟ หรือทะเบียนยานพาหนะที่ใช้บรรทุก สัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร
ข้อ ๖ ในการนำสินค้าประเภทสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักรโดยการ ขนส่งทางอากาศยานหรือทางเรือ เจ้าของอากาศยานหรือเจ้าของเรือจะต้องแจ้งรายการสินค้าประเภทสัตว์หรือซาก สัตว์ที่บรรทุกมากับอากาศยานหรือเรือนั้น ให้กับสัตวแพทย์ประจำท่าเข้าทราบก่อนที่อากาศยานหรือเรือนั้นจะเดินทางมาถึง ท่าเข้า
ข้อ ๗ ในกรณีที่นำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักรโดยยานพาหนะใดๆ จะนำสัตว์หรือซากสัตว์นั้นลงจากยานพาหนะได้ต่อเมื่อสัตวแพทย์ประจำท่าเข้า นั้นได้ตรวจและอนุญาตแล้ว
ข้อ ๘ ให้ผู้นำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักรแสดงหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ หรือหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์ ซึ่งออกโดยสัตวแพทย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ของประเทศที่นำสัตว์หรือซากสัตว์นั้น มายื่นต่อสัตวแพทย์ประจำท่าเข้า
ข้อ ๙ เมื่อนำสัตว์หรือซากสัตว์ลงจากยานพาหนะแล้ว ให้ผู้นำเข้านำสัตว์หรือ ซากสัตว์นั้นไปยังสถานกักกันสัตว์หรือที่พักซากสัตว์ของท่าเข้า หรือสถานกักกันสัตว์หรือที่พัก ซากสัตว์เพื่อการนำเข้าที่กรมปศุสัตว์รับรอง หรือสถานกักกันสัตว์หรือที่พักซากสัตว์ที่สัตวแพทย์ประจำท่าเข้ากำหนดเพื่อ ให้สัตวแพทย์ประจำท่าเข้าตรวจโรค และทำลายเชื้อโรคตามระเบียบของ กรมปศุสัตว์
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่สัตวแพทย์ประจำท่าเข้ามีความสงสัยโดยมีเหตุอันสมควรว่าสัตว์หรือ ซากสัตว์ที่นำเข้ารายใดมีเชื้อโรคระบาด หรือมาจากฝูงสัตว์ที่เป็นโรคระบาด หรือไม่มีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์หรือหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์ กำกับมาพร้อมกับสัตว์หรือซากสัตว์ที่นำเข้า หรือมีหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์หรือหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์แต่การ รับรองนั้นไม่ครบถ้วน หรือไม่ตรงตามเงื่อนไขการนำเข้า (Requirement) ตามที่กรมปศุสัตว์กำหนด ให้สัตวแพทย์ ประจำท่าเข้ากักสัตว์นั้นไว้เพื่อพิสูจน์ได้เป็นเวลาไม่เกินหกสิบวัน หรือกักซากสัตว์นั้นไว้เพื่อพิสูจน์ได้เป็นเวลาไม่เกินสิบวัน
ข้อ ๑๑ เมื่อสัตวแพทย์ประจำท่าเข้าได้ตรวจหนังสือรับรองสุขภาพสัตว์หรือหนังสือ รับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์ ถูกต้องตามข้อ ๘ และได้ดำเนินการตามข้อ ๙ หรือข้อ ๑๐ แล้ว ให้เสนอ ต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเพื่อพิจารณาออกใบอนุญาตให้นำสัตว์หรือ ซากสัตว์เข้าในราชอาณาจักร เว้นแต่ในกรณีที่สัตว์หรือซากสัตว์นั้นเป็นโรคระบาดหรือพาหะของโรคระบาดให้ ดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการนั้น
ข้อ ๑๒ สัตว์หรือซากสัตว์ที่นำเข้าโดยปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามความในหมวดนี้อธิบดีหรือ ผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายจะผ่อนผันอนุญาต ให้นำเข้าตามเงื่อนไขที่กำหนดให้ก็ได้
ข้อ ๑๓ สัตว์หรือซากสัตว์ที่อยู่ในระหว่างการกักตรวจตามข้อ ๑๐ ให้เจ้าของเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น
ข้อ ๑๔ ในกรณีที่ผู้นำเข้ารายใดได้รับใบแจ้งอนุมัตินำสัตว์หรือซากสัตว์เข้าในราช อาณาจักรแล้ว หากสัตวแพทย์ประจำท่าเข้าเห็นว่าในขณะนั้นกำลังมีโรคระบาดหรือมีเหตุอันควร สงสัยว่ามีโรคระบาดในท้องที่ ที่จะมีการนำสัตว์หรือซากสัตว์นั้นเข้ามา ให้สัตวแพทย์ประจำท่าเข้าเสนอต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเพื่อ พิจารณาสั่งระงับการนำเข้านั้น
หมวด ๒
การนำสัตว์หรือซากสัตว์ออกนอกราชอาณาจักร

ข้อ ๑๕ ผู้ใดประสงค์จะนำสัตว์หรือซากสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ยื่นคำขอต่อสัตวแพทย์ประจำท่าออก
(๒) ถ้าเป็นสัตว์ที่ต้องมีตั๋วรูปพรรณตามกฎหมายต้องมีตั๋วรูปพรรณแสดงกรรมสิทธิ์ แนบคำขอสำหรับสัตว์ที่ขอนำออกนั้นทุกตัว
(๓) ให้นำสัตว์หรือซากสัตว์ไปยังสถานกักกันสัตว์หรือที่พักซากสัตว์ของท่าออก หรือสถานกักกันสัตว์หรือที่พักซากสัตว ์เพื่อการส่งออกที่กรมปศุสัตว์รับรอง หรือสถานกักกันสัตว์หรือที่พักซากสัตว์ที่สัตวแพทย์ประจำท่าออกกำหนด เพื่อให้สัตวแพทย์ประจำท่าออกตรวจโรคและทำลายเชื้อโรค หรือจัดการอย่างอื่นใดตามระเบียบของกรมปศุสัตว์ เว้นแต่ในกรณีของซากสัตว์ ซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าได้จัดการทำลายเชื้อโรคแล้ว
(๔) สัตว์หรือซากสัตว์ที่อยู่ในระหว่างการจัดการตาม (๓) ให้เจ้าของเป็นผู้ควบคุม ดูแลรับผิดชอบและออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น
ข้อ ๑๖ เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๑๕ แล้ว ให้สัตวแพทย์ประจำท่าออกที่รับคำขอนำสัตว์หรือซากสัตว์ออกนอกราชอาณาจักร เสนอต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเพื่อพิจารณา ออกใบอนุญาตให้นำสัตว์หรือซากสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรและออกหนังสือรับรอง สุขภาพสัตว์หรือหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์
ข้อ ๑๗ สัตว์หรือซากสัตว์ที่เจ้าของได้รับอนุญาตให้นำออกนอกราชอาณาจักรได้แล้ว ในกรณีที่สัตวแพทย์ประจำท่าออกสั่งระงับการนำออก หรือไม่อาจนำออกได้ด้วยเหตุใดๆ ก็ดีให้เจ้าของรับคืนเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้นำออกได้
หมวด ๓
การนำสัตว์หรือซากสัตว์ผ่านราชอาณาจักร

ข้อ ๑๘ การนำสัตว์หรือซากสัตว์ผ่านราชอาณาจักร ให้ปฏิบัติตามความในหมวด ๑ และหมวด ๒ โดยอนุโลม ในกรณีที่อธิบดีเห็นควรผ่อนผันเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งผ่อนผันวิธีปฏิบัติการบางอย่างได้
หมวด ๔
คำขอและใบอนุญาต
ข้อ ๑๙ คำขอรับใบอนุญาตตามกฎกระทรวงนี้ ให้ทำตามแบบของกรมปศุสัตว์ ส่วนใบแจ้งอนุมัตินำสัตว์ หรือซากสัตว์เข้าในหรือผ่านราชอาณาจักร หนังสือรับรองสุขภาพสัตว์ หรือหนังสือรับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์ สำหรับสัตว์ หรือซากสัตว์ที่นำออกนอกราชอาณาจักรและใบอนุญาตให้นำเข้า นำออก หรือนำผ่านราชอาณาจักร ให้ใช้แบบพิมพ์ของกรมปศุสัตว์
ให้ไว้ ณ วันที 5 เมษายน พ.ศ. 2544
นายชูชีพ หาญสวัสดิ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยทั่วไปแล้วสำหรับการส่งสัตว์เลี้ยงออกไปยังต่างประเทศนั้น อาจจะต้องปฎิบัติตามกฏหมายของประเทศนั้นๆค่ะ เช่น อาจจะต้องการ สมุด ผลการฉีดวัคซีนในสัตว์เลี้ยงบางประเภท หรือ ต้องมีลายเซ็นต์ health certificate จากกรมปศุสัตว์ หรือ ใบรับรองพิเศษ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราต้องตรวจสอบกับประเทศที่เราจะนำเข้าสัตว์เลี้ยงค่ะ บางประเทศก็ต้องการ import permit หรือ ใบ ร 10 ซึ่งเป็นใบอนุญาตค้าสัตว์ หรือการรับรอง จากกรมศุลกากร หรืออย่างประเทศเยอรมัน ก็ ต้องการผลตรวจเลือดต้องส่งเลือดไปวิเคราะห์ก่อน ที่เยอรมัน เป็นต้น
แต่สำหรับกรณีที่นำเข้ามายังประเทศไทยนั้นจะง่ายกว่าการส่งออกค่ะ ถ้าเป็นสุนัขก็อาจจะมี healh certificate จากต้นทาง และสมุดวัคซีน เอาบัตรประชาชน มาใช้ในการรับ แต่โดยทั่วไปแล้วบัตรประจำตัวประชาชนอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วค่ะ อาจจะเสียภาษีขาเข้า การนำเข้าสัตว์เลี้ยงไม่มาก ในนามบุคคลอาจจะไม่ต้องมีใบพิเศษอะไรค่ะ หรือถ้าต้องการง่าย ไม่ยุ่งยาก เราอาจจะจ้าง บริษัท shipping ให้มาดำเนินการแทนได้ค่ะ

เลี้ยงกี่ตัวดี


วันนี้ขอพูดถึงเรื่องจำนวนของแฮมสเตอร์ดีกว่าเนอะ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากๆ
หลายๆคนอาจจะอยากเลี้ยงแฮมสเตอร์ แล้วก็อยากไปหาซื้อมาครอบครองซักตัว แต่พอไปถึงร้าน เห็น แฮมสเตอร์ ตัวนั้นก็สวย ตัวนี้ก็น่ารัก แถมคนขายบางคนก็เชียร์กันเสียจนเพื่อนๆหลายคนอาจจะเคลิ้ม ซื้อกลับมา 4-5 ตัวพร้อมกับ กรงใบเดียว
แล้ววันนึง ฝันร้ายก็มาถึง เจ้าฝูงแฮมสเตอร์ที่เหมือนจะอยู่ด้วยกันได้ วันดีคืนดีก็ลุกขึ้นมาไล่กัดกันเสียเฉยๆ จนได้แผลกันไป แถมบางตัวที่โชคร้าย เพราะเจ้าของไม่ได้แยก ก็เสียชีวิตไปในกรงก็มีถ้าเค้าอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ ต้องแยกค่ะ ไม่อย่างนั้นกัดกันตายได้



หลายๆ คนคงเจอปัญหานี้มาแล้ว ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการไปหาซื้อกรงมาใหม่ เพื่อแยกแฮมสเตอร์ที่ไม่สามารถจะอยู่ด้วยกันได้ ออกจากกัน ซึ่งหากแฮมสเตอร์กัดกันได้แผลเมื่อไร ต้องแยกค่ะ ถ้าไม่แยกตัวที่อ่อนแอกว่า จะโดนกัดจนถึงตายได้
 ทำไมจึงกัดกัน

แฮม สเตอร์ เมื่อโตขึ้น เขาจะเริ่มเกิดอาการหวงถิ่น ตัวที่แข็งแรง จะพยายามขับไล่ตัวที่อ่อนแอออกไปจากอาณาเขตตน แต่ตัวที่อ่อนแอจะไปไหนได้ล่ะ ในเมื่อโดนขังอยู่ในกรงแบบนี้ไม่มีทางออก ตัวที่อ่อนแอจึงต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และมักจะจบลงด้วยความตาย หากเจ้าของไม่แยกเสีย
และนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของแฮมสเตอร์ตัวที่ไปกัดเขา เพราะมันเป็นสัญชาตญาณที่ธรรมชาติให้มาค่ะ เค้าทำไปตามสัญชาตญาณ เพราะหากแฮมสเตอร์อยู่ตามธรรมชาติแล้ว เมื่อตัวที่อ่อนแอโดนขับไล่ ตัวที่อ่อนแอจะเป็นฝ่ายถอยหนีออกไปจากที่อยู่เดิม และจะไม่มีใครต้องตาย ดังนั้นความผิดคือ การไม่รู้ของเจ้าของ ที่ไม่พยายามจะทำความเข้าใจถึงธรรมชาติของแฮมสเตอร์ จนทำให้แฮมสเตอร์หลายๆตัว โดนเอาไปทิ้ง หรือให้คนอื่นด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า เพราะมันดุ และกัดอีกตัวตาย
 ทำไมแฮมเตอร์ที่ร้านจึงอยู่รวมกันหลายสิบตัวได้

เพราะ เค้ายังเด็กค่ะ แฮมสเตอร์ที่ขายทั่วไปตามร้านจะอายุ 3 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน จึงยังไม่มีสัญชาตญาณหวงถิ่นมากเหมือนแฮมสเตอร์ ที่โตแล้ว จึงสามารถจะอยู่รวมกันได้ แต่มักจะกัดกันภายหลัง เมื่อเราซื้อไปเลี้ยงซักพักแล้ว

 เลี้ยงกี่ตัวดี

ควร เลี้ยงแค่ 1-2 ตัวก็พอค่ะ และควรเป็นพันธุ์เดียวกันด้วย หากเพื่อนๆ ไม่อยากมีปัญหาเรื่องลูกแฮมสเตอร์เต็มบ้านในภายหลังล่ะก็ เลี้ยงแค่ตัวเดียวก็ได้ค่ะ ขอเพียงมีเวลาให้เค้าบ้างทุกๆวัน เพราะว่า แฮมสเตอร์นั้น ลูกดกค่ะ เค้าสามารถจะออกลูกได้ครั้งละหลายตัว และออกได้เดือนละ 1-2 ครั้งเลยทีเดียว ดังนั้นหากเพื่อนๆ ไม่อยากมีปัญหาเรื่องลุกแฮมสเตอร์แล้วล่ะก็ เลี้ยงแค่ตัวเดียวก็พอค่ะ
แต่ถ้าใครยังไม่แน่ใจว่าจะเลี้ยงตัวเดียวหรือ 2 ตัวดี ก็อยากจะแนะนำให้เลี้ยงตัวแรกเป็นตัวผู้ค่ะ เพราะ ว่า แอมสเตอร์ตัวเมียจะหวงถิ่นมากกว่า หากเราเกิดเปลี่ยนใจภายหลัง จะไปซื้อตัวเมียมาอยู่เป็นเพื่อนก็ทำได้ เพราะว่า ตัวผู้ของเราจะใหญ่กว่าตัวเมียที่มาทีหลัง และจะไม่ค่อยมีปัญหาจากการหวงถิ่นของตัวเมียค่ะ ที่สำคัญ พาเค้าไปเลือกตัวเมียที่ร้านเองจะดีที่สุด เพราะว่า หากเราสุ่มซื้อมา แล้วเค้าเข้ากันไม่ได้ล่ะก็ อาจจะกัดกัน และต้องแยกอยู่คนละกรงในที่สุดอยู่ดี

เลี้ยงน้อยๆ แต่เลี้ยงดีๆ ดีกว่าเนอะ


อาหาร Hamster 
 อาหารแฮมสเตอร์

     ตาม ธรรมชาติแล้ว แฮมสเตอร์จะเป็นสัตว์ที่รักการกินค่ะ เค้าสามารถกินอาหารได้หลายๆอย่าง ตั้งแต่ เมล็ดพืช รากต้นไม้ รวมทั้งแมลงและสัตว์ตัวเล็กๆอีกด้วยค่ะ

 ให้อาหารเวลาไหน
     แฮมสเตอร์จะต้องการอาหารที่ใหม่ สด ตลอดทั้งวันเลยค่ะ ซึ่งหนูแฮมสเตอร์จะซุกซน ตื่นตัวมากที่สุดในช่วงเวลาเย็นเป็นต้นไปค่ะ แต่ถ้าเป็นเวลากลางวันเค้าจะนอนหลับ เพราะฉะนั้นตอนช่วงเย็นหนูจะกินมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลางวันเค้าจะนอนอย่างเดียวโดยไม่กินอะไรเลย เค้าจะตื่นขึ้นมาเป็นระยะๆ ค่ะ ประมาณทุกๆ 2 ชั่วโมงจะตื่นครั้ง เพื่อมากัดแทะและกิน แล้วก็จะกลับไปนอนต่อ

 ทำไมถึงนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน

     เพราะ ตามธรรมชาติแล้วเค้าจะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตทะเลทรายค่ะ กลางวันอากาศในทะเลทรายจะสูงมาก เค้าจะหลบนอนเพื่อเก็บแรงไว้ พอตอนกลางคืน เมื่ออุณหภูมิต่ำลง เค้าจะออกมาหาอาหาร โดยจะตุนอาหารไว้กินตอนกลางคืน เพราะเหตุนี้ แฮมสเตอร์จึงต้องมีกระพุ้งแก้มเป็นแบบพิเศษที่สามารถใช้กักตุนอาหาร เพื่อเอากลับไปตุนไว้ในรัง ไว้กินตอนกลางวันที่แดดแรงๆได้ค่ะ

 ต้องให้อาหารเยอะแค่ไหน

     ปกติ แล้วแฮมสเตอร์แคระอย่าง Syrian จะต้องการอาหารเพียงแค่วันละ 1 ช้อนเท่านั้นเอง อาจจะให้ผลไม้และผักเพิ่มเติมก็ได้ค่ะ ส่วนพันธุ์ Dwaf จะซุกซนกว่า ก็จะกินมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดตัวของแฮมสเตอร์ด้วยค่ะ ควรจะให้ เมล็ดข้าว และเมลดพืชแก่เค้าทุกๆวัน เพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งจะให้สารอาหารที่เหมาะสม รวมทั้งวิตามินด้วยค่ะ
     แฮมสเตอร์ก็กินผักสดเหมือนกันนะ แถมยังชอบอีกด้วย อาจจะให้หญ้านิดหน่อย ให้แครอทนิดนึง ก็จะดีค่ะ แต่อย่าให้มากเกินไปนะคะ อาจจะทำให้ท้องเสียได้ค่ะ
     เราอาจจะเสริมโปรตีนให้แก่หนูได้ โดยการให้อาหารเม็ดของแมว หรือหมาที่เป็น บิสดิต ใส่ลงไปได้บ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะบิสกิตจะช่วยเสริมโปรตีน และยังช่วยลับฟันแฮมสเตอร์ไม่ให้ยาวเกินไปอีกด้วยค่ะ
 ตัวอย่างผักและผลไม้ที่ให้แฮมสเตอร์กินได้

ข้าวโพด
แอปเปิล
กล้วย
ถั่วต่างๆ ยกเว้น ถั่วแดง
บร็คเคอรี่
กะหล่ำปลี
แครอท
กะหล่ำดอก
แตงกวา
องุ่น
ส้ม
มันฝรั่ง
Spinach
หญ้าอ่อนๆ
เมล็ดทานตะวัน

ควรจะล้างให้สะอาดก่อนเอามาให้หนูกินนะคะ เพราะผักผลไม้บ้านเรา ใช้ยาฆ่าแมลงกันเยอะเลย
 อาหารเสริม

อาหารเสริมที่สามารถให้แฮมสเตอร์กินได้นอกจากผักและผลไม้ ตามปกติแล้ว ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่ให้เป็นอาหารเสริมได้ค่ะ
 ไข่ หนู แฮมสเตอร์ชอบกินไข่ต้มที่ต้มสุก และไข่ต้มยังมีโปรตีนสูงอีกด้วยนะ โดยเฉพาะในแม่หนูที่กำลังท้อง แต่ไม่ใช่ว่าให้ตลอดนะคะ นานๆให้ทีค่ะ ซึ่งต้อใตรวจดูด้วยนะคะ ว่าไข่ที่ทิ้งไว้ให้เค้ากิน เสียหรือเปล่า

 น้ำมันตับปลาน้ำมัน ตับปลาจะอุดมไปด้วย วิตามิน A และ D ใช้โดยหยดเพียงแค่ไม่กี่หยดลงบนเมล็ดข้าวก็ได้ค่ะ หรือเมล็ดพืชก็ได้ สามารถให้ได้อาทิตย์ละครั้งค่ะ อาจจะให้อาหารเม็ดสำหรับสุนัขทมีส่วนผสมของน้ำมันตับปลาก็ได้ค่ะ
 เนื้อ
เรื่อง การให้เนื้อเป็นอาหารแก่แฮมสเตอร์นั้น เป็นเรื่องที่ผู้เลี้ยงทั้งหลายต่อต้านกันมานาน เพราะเชื่อว่าอาหารประเภทเนื้อจะกระตุ้นให้แฮมสเตอร์ดุร้าย แต่ก็มีรายงานจากผู้เลี้ยงหลายๆคนมาแล้ว ซึ่งให้เนื้อเป็นอาหารประจำของแฮมสเตอร์ เค้าบอกว่าไม่เห็นว่าจะก้าวร้าวผิดปกติแต่อย่างใด อาจจะให้เป็นเนื้อวัวชิ้นเล็กๆ หรืออาจจะให้อาหารสุนัขที่บรรุจุกระป๋องก็ได้ค่ะ
 นม
ต้องใส่จานค่ะ อาจจะให้ได้บ้างค่ะ โดยเฉพาะหนูแฮมสเตอร์ที่กำลังท้อง
 อาหารนกผสม
สามารถจะให้อาหารเม็ด เช่นเมล็ดพืชสำหรับนกก็ได้ค่ะ โดยเอามาผสมกับเมล็ดข้าว โดยให้สัปดาห์ละครั้ง

 ยีสต์
ยีสต์ ประกอบด้วยวิตามิน B ซึ่งจะรักษาระบบประสาท และลดความเครียด (ความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้หนูเจ็บป่วยได้ง่ายค่ะ ) การให้ยีสต์สัปดาห์ละครั้ง จะช่วยป้องการการเจ็บป่วยได้ ( เป็น nutrition ยีสต์ ไม่ใช่ยีสต์ที่ใช้ทำขนมปังนะคะ )
 อาหารต้องใส่ชามรึเปล่า
     จะ ให้อาหารโดยโปรยลงบนพื้นหรือใส่ถาชนะดี คำตอบก็คือจะโปรยลงบนพื้นก็ได้ค่ะ เพราะแฮวสเตอร์ไม่ได้มีนิสัยชอบก้มกิน เค้าจะชอบหยิบอาหารออกมากินนอกภาชนะมากกว่า โดยใช้เท้าหน้าจับอาหารกิน แต่การใช้ภาชนะก็ดีค่ะ จะทำให้รู้ว่าเค้าเอาอาหารออกไปกินมากน้อยแค่ไหน ถ้าเค้าป่วยเราก็จะรู้ได้ ซึ่งเศษเปลือกอาหารที่เค้าทิ้งไว้ตามกรง เราก็ควรจะเก็บท้องเหมือนกันค่ะ

อาหารฉุกเฉิน
เพื่อนๆเคยประสบปัญหาเหล่านี้หรือไม่
ลืมตรวจดูอาหารที่มีอยู่ หมดตั้งแต่เมื่อไร ก็ไม่รู้ ร้านขายอาหารแฮมสเตอร์ที่ใกล้สุดก็ปิดไปแล้ว

ใกล้จะสอบอยู่แล้วเชียว อาหารน้องแฮมก็ดันหมด จะนั่งรถไปซื้อก็คงอ่านหนังสือไม่ทันซะแล้ว
ขี้เลื่อยก็หมดแล้ว ทำยังไงดี จะไปซื้อได้ยังไง วันพรุ่งนี้ไม่ว่างเสียด้วย

หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาพวกนี้มาก่อน เราก็เลยเอาเคล็ดลับดีๆ มาฝากค่ะ

เชื่อหรือไม่ เราสามารถจะหาอาหารและวัสดุปูพื้น แบบฉุกเฉินได้จาก 7-11 หรือ ร้านขายของชำใกล้บ้าน
มาดูกันดีกว่าค่ะ
รายการข้างล่างพวกนี้เพื่อนๆ สามารถจะหาซื้อได้จากร้านใกล้บ้านค่ะ ให้น้องแฮมกินแก้ขัด หรือ อาศัยไปพลางๆ ก่อนค่ะ
อาหาร วัสดุปูพื้น
  • เมล็ดถั่วเขียว
  • ปลาเส้นทาโร่
  • ขนมปังกรอบ
  • นมอัดเม็ด
  • เม็ดฟักทอง
  • อาหารเม็ดของแมว
  • โยเกิร์ต
  • คอร์นเฟรค
  • กระดาษทิชชู่
  • กระดาษแบบไม่มีเส้นฉีกเป็นฝอยๆ
เห็นไหม ง่ายนิดเดียว เหล่า นี้เป็นอาหารชั่วคราวค่ะ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้าได้ แต่ไม่ได้แนะนำให้ทำแบบนี้ตลอดไปนะเอ้อ โดยเฉพาะกระดาษทิชชู่ จะอมความเปียกชื้นมากกว่า ขี้เลื่อย ซึ่งควรจะเปลี่ยนใหม่ทุกวันค่ะ จนกว่าจะมีขี้เลื่อยของจริงให้น้อง

    
 แฮมสเตอร์ก็พูดได้ค่ะ
   อ่านแล้วอย่าเพิ่งตกใจค่ะ คนเรายังมีภาษาสำหรับสื่อสารกันเลย น้องแฮมสเตอร์เค้าก็มีภาษาของเค้าเหมือนกันนะคะ นอกจากภาษาที่เป็นเสียงร้อง ของพวกเค้าแล้ว ยังมีภาษาอื่นอีก คือ ภาษาท่าทางค่ะ

 แฮมสเตอร์บอกอะไรเรามั่ง
   หากเพื่อนๆมีเวลามานั่งมองเจ้าตัวน้อยทั้งหลาย เพื่อนๆจะเห็นค่ะ ว่าแฮมสเตอร์มีท่าทางหลายๆท่าเลย เรามาดูกันเถอะนะ ว่าน้องแฮมเค้าแอบบอกอะไรเรา
กัด แทะ กรง
แปลว่า เบื่อ หรือ อยากจะออกมาเล่นข้างนอกกรง พยายามหลบหนี หรือพยายามลับฟันค่ะ เพราะฟันแฮมสเตอร์ยาวไม่จำกัด เค้าต้องพยายามลับฟัน เพื่อไม่ให้ฟันยาวเกินไป
ยืน 2 ขา หูตั้ง
แปลว่าเค้าตั้งใจฟัง หรือ สนใจอะไรบางอย่างเป็นพิเศษ หรือขออะไรบางอย่างจากเจ้าของ เช่นขออาหาร
วิ่งไปมา เอาขาแปะๆ กระโดดๆ ที่ขอบกรง
แปลว่าอยากจะออกมาข้างนอกกรง หรือ พยายามร้องขออะไรบางอย่างค่ะ
วิ่งวุ่นหลังเปลี่ยนขี้เลื่อย
หากหลังจากเปลี่ยนขี้เลื่อย แล้ว พบว่าหนูวิ่งวุ่น แสดงว่าเปลี่ยนขี้เลื่อยเก่าจนหมด ซึ่งผิดค่ะ การเปลี่ยนขี้เลื่อยเก่าออกหมดจะทำให้หนูแฮมสเตอร์ รู้สึกแปลกถิ่น เพราะไม่มีกลิ่นเดิมเค้าเหลืออยู่ จะทำให้เค้าตกใจ และรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ที่อยู่ของเค้าค่ะ

การเปลี่ยนขี้เลื่อยที่ถูกจึงควรจะเหลือของเก่าไว้บ้าง
เอานิ้วจับอาหาร
เวลากิน แฮมสเตอร์จะเอาขาหน้าจับอาหารเข้าปากค่ะ ลองให้เอาหารเค้ากับมือสิคะ เค้าจะเอามือน้อยๆ มารับอาหารจากมือ ไปหยิบเข้าปาก น่ารักมากๆ
ตุนอาหาร
แฮมสเตอร์จะมีแก้มแบบพิเศษใช้กักตุนอาหารได้ค่ะ เมื่อเวลาที่เค้าต้องการกินอาหารที่ตุนไว้ เค้าจะเอามือตบๆตรงหลังแก้ม เพื่อดันๆอาหารออกมาค่ะ
เวลาที่แฮมสเตอร์รู้สึกไม่ปลอดภัย เค้าอาจจะคายอาหารที่ตุนไว้ที่กระพุ้งแก้มออกมา เพื่อให้คล่องตัวขึ้น
หรือ เมื่อเวลาที่แม่หนูที่มีลูกอ่อน รู้สึกไม่ปลอดภัย เค้าจะอมลูกของตัวไว้ เพื่อให้พรางไม่ให้ศัตรูเห็นลูก และเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายลูกจากศัตรูค่ะ
ทำความสะอาดตัว
แฮมสเตอร์จะชอบไซ้ขน ทำความสะอาดตัว ส่วนตรงหัว เค้าจะเลียไม่ถึง ก็จะใช้วิธีเอามือแปะๆน้ำลายไปป้ายๆ ทำความสะอาดที่หัวค่ะ หากเห็นว่าหัวแฮมสเตอร์เปียก แสกกลางก็ไม่ต้องตกใจนะตะ เค้าทำความสะอาดตัวเองมาค่ะ ปกติแฉมสเตอรฺจะเป็นสัตว์ที่รักความสะอาดมาก เค้าจะทำความสะอาดตัวเองเป็นประจำเลยค่ะ
อาบน้ำ
แฮมสเตอร์จะทำความสะอาดตัวเอง โดยการคลุกผงฝุ่นชิลชีล่า หนูจะเอามือเขี่ยๆทรายมากองรวมกัน แล้วหงายท้องเอาหลังคลุกกลิ้งกับทราย หรือ ถ้าไม่มี หนูบางตัวก็จะทำความสะอาดตัวโดยคลุกกับขี้เลื่อย
นอนหลับ
ตอนแฮมสเตอร์หลับ เค้ามักจะหลับในที่กำบัง เช่น บ้าน หรือ ซอกมุม ต่างๆ หรือถ้าไม่มีที่จริงๆ เค้าก็จะขุดขี้เลื่อย และฝังตัวใต้นั้น ถ้าเค้าหลับอยู่อย่าไปแหย่เชียว หากงัวเงียอยู่ เค้าอาจจะหงุดหงิด และกัดเอาได้ค่ะ
ง่วงนอน
หากหนูของเราทำตาปรือ หูลู่ไปทางด้านหลัง อย่าเพิ่งไปรบกวนค่ะ แสดงว่ายังงัวเงียอยู่ อาจจะมีการหงุดหงิดและกัดเราได้ค่ะ หากไปกวนเค้าตอนนี้ เหมือนเวลาที่คนโดนปลุก คนยังหงุดหงิดเลยเนอะ หนูแฮมสเตอร์ก็หงุดหงิดได้เหมือนกันค่ะ
คุ้ยขี้เลื่อย มุดใต้ขี้เลื่อย
แฮมสเตอร์จะชอบคุยเขี่ยขี้ เลื่อย และบางทีก็จะมุดฝังตัวเองลงไปใต้ขี้เลื่อย จึงควรใส่ขี้เลื่อยให้ สูงพอ เพื่อแฮมสเตอร์จะได้มุดเล่นได้ ดังนั้นเพื่อนๆที่เลี้ยงหนูโดยใช้ตะกร้า อาจจะมีขี้เลื่อยกระเด็นออกมานอกตะกร้าบ้าง
ดมกลิ่น
เมื่อมีหนูแปลกถิ่นมา หนูเดิมที่อยู่จะเข้ามาดม เพื่อตรวจดูว่ารู้จักกันหรือไม่ เป็นหนูแปลกหน้าหรือไม่ จะเห็นว่าหนูตัวใหม่ ( ตัวที่มีลูกศรสีเหลืองชี้ ) จะโดนตัวเก่าๆพิสูจน์กลิ่น ซึ่งแฮมสเตอร์จะหวงแหนถิ่นตัวเอง หากเค้าไม่ยอมรับหนูใหม่ เค้าก็จะทำร้ายหนูตัวใหม่
หนูกัดกัน
หนูจะกัดกัน โดยกัดกันเป็นก้อนกลม อย่างรวดเร็ว และร้องเสียงดัง หากเป็นแบบนั้นเพื่อนๆต้องแยกหนูออกจากกันค่ะ
ยกขาหน้าขึ้นป้องกัน
ในกรณีหนูตัวผู้ เมื่อโดนหนูตัวเมียจู่โจมอย่างรวดเร็ว เค้าจะยกขาหน้าขึ้นเพื่อป้องกันค่ะ
นอนหงายท้อง และร้อง
เมื่อแฮมสเตอร์กลัว เค้าจะนอนหงายท้อง และยกขาหน้าขึ้นกัน และยิงฟัน พร้อมกับร้องเสียงดัง เป็นการบอกว่า ยอมแพ้แล้วจ้า อย่ารังแกหนูเลย



ภาพนี้ แฮมสเตอร์ตัวเล็กกำลัง ถูกตัวโต โจมตี เค้าจะส่งเสียงร้อง และหงายท้อง เพื่อเป็นการยอมแพ้
ผสมพันธุ์
เมื่อแฮมสเตอร์ตัวผู้ต้องการผสมพันธุ์ จะพยายามมาเลียๆที่อวัยวะเพศตัวเมีย และพยายามเข้าผสม หากหนูตัวเมียไม่ยอมรับการผสม จะหงายท้อง ร้อง หรือ เอามือแปะๆผลักๆตัวผู้ออกไป แต่หากตัวเมียยอมรับตัวผุ้ เค้าจะคลานยกก้นให้ตัวผู้ค่ะ
เวลาผสม ตัวผู้จะขึ้นขี่หลังตัวเมีย และจะเอามือกอดเอวหนูตัวเมียไว้เพื่อไม่ให้หนี และผสมค่ะ
การทำรัง
เมื่อแฮมสเตอร์ทำรัง โดยการคาบกระดาษทิชชู่ที่ให้ไว้ไปทำเป็นรัง แปลได้ว่า แม่แฮมสเตอร์กำลังท้องค่ะ หรือ อากาศตอนนั้นหนาวเย็นเกินไป
ให้นมลูก
เมื่อแม่แฮมสเตอร์คลอดลูกออก มา แม่หนูจะดูแลลูกตัวน้อยเอง ในช่วง 10 วันแรก อย่าไปรบกวนเค้าเด็ดขาด แม่หนูจะให้นมลูกเอง โดยการยืนคร่อมลูกไว้ข้างล่าง ลูกหนูจะนอนดูดนม ดังรูป

หาของเล่นให้แฮมสเตอร์


เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ ว่า วงล้อ ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยหรอกนะคะ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับแฮมสเตอร์ค่ะ
เนื่องจาก ตามธรรมชาติแล้ว แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่ซุกซน และชอบการวิ่งเล่น ผจญภัย รวมทั้งต้องเดินทางเป็นระยะทางไกลถึง 5 ไมลล์ ในตอนกลางคืนเลยทีเดียว เพื่อหาและสะสมอาหารไว้กินในตอนกลางวัน ที่อุณหภูมิร้อนจัด แต่แฮมสเตอร์ที่เลี้ยงไว้ จะอยู่ในที่จำกัด ไม่สามารถจะวิ่งเล่นได้อย่างในธรรมชาติ การมีวงล้อจึงช่วยให้แฮมสเตอร์ สามารถจะวิ่งเล่น และออกกำลังกายได้ และมีสุขภาพดี ด้วยเหตุนี้ หากเพื่อนๆ สังเกตจะเห็นว่า กรงที่ออกแบบมาสำหรับแฮมสเตอร์โดยเฉพาะนั้น ส่วนใหญ่จะมีวงล้อติดมาด้วย ซึ่งแฮมสเตอร์มักจะชอบวิ่งเล่นปั่นวงล้อ ในตอนกลางคืน ทั้งนี้ก่อนจะเลือกซื้อวงล้อ เพื่อนๆควรจะตรวจดูวงล้อด้วย ว่ามีอันตรายอะไรหรือไม่ โดยควรจะเลือกวงล้อ ที่ไม่มีคม หรือ เสี้ยน และมีขนาดที่เหมาะสม สำหรับแฮมสเตอร์ วงล้อที่วางขายกันอยู่ทั่วไป มีหลายแบบ
1. วงล้อที่เป็นซี่ลวด
วง ล้อแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับแฮมสเตอร์ โดยเฉพาะแฮมสเตอร์แคระ เพราะว่า ขาแฮมสเอตร์อาจจะหล่นไปขัดกับซี่ลวดในขณะวิ่ง แล้วอาจจะเกิดอันตรตาย เช่น ขาหักได้
2. วงล้อแบบพลาสติกอย่างถูก จะไม่ค่อยเหมาะเพราะว่า ทำจากพลาสติกที่ไม่ป้อนกันการกัดแทะ แฮมสเตอร์จะกัดแทะ และอาจจะกินพลาสติกเข้าไป ทำให้เป็นอันตรายได้
3. วงล้อแบบพลาสติดพื้นทึบที่ป้องกันการกัดแทะ จะเหมาะสมมากกว่า แต่ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง ในเรื่องเสียงดังรบกวนในเวลากลางคืน เมื่อแฮมสเตอร์ปั่นวงล้อ
4. วงล้อแบบพลาสติกป้องกันการกัดแทะ และมีจุกรับแรงสะเทือน จะดีที่สุด เพราะว่า จุกพลาสติกสุญญากาศ สามารถจะติดกับข้างกรง และช่วยรับแรงสั่นสะเทือน ทำให้ไม่มีเสียงดังรบกวนเหมือนรุ่นอื่นๆ
การปรับวงล้อที่มีอยู่ให้ดีขึ้น
หากเพื่อนๆ มีวงล้อเดิมอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะยังไม่เหมาะกับแฮมสเตอร์นักก็อย่าเพิ่งทิ้งนะคะ วันนี้มีเทคนิคดีๆ มาฝากค่ะ
1. แก้ไขวงล้อที่เป็นซี่

สามารถจะแก้ไขได้ โดยการหากระดาษแข็ง มาและใช้สติกเกอร์ใสปิดทับกระดาษแข็ง แล้วนำมาแปะรองใต้ซี่ล้อ ดังภาพ จะช่วยให้แฮมสเตอร์สามารถจะวิ่งได้สะดวกขึ้น และขาไม่หล่นลงไประหว่างซี่ล้อ
2. วงล้อที่ทำจากพลาสติกอย่างดี ป้องกันการกัดแทะ

วงล้อรุ่นนี้จะมีข้อเสียคือ จะมีรูเจาะวงกลม 3 รูตรงตัววงล้อ ทำให้ลูกแฮมสเตอร์ที่อยากรู้อยากเห็นบางตัว พยายามจะรอดรูกลมๆนี้ และอาจจะหัวติดระหว่างรูเอาไม่ออกได้ ควรแก้ไข โดยการหาอะไรมาปิดรู อาจจะเป็นกระดาษแข็งก็ได้ ส่วนเรื่องเสียงดังรบกวนนั้น สามารถจะแก้ได้ โดยการหาน้ำมันพืช มาทาตรงข้อต่อวงล้อ จะทำให้แฮมสเตอร์สามารถจะหมุนวงล้อได้ลื่นขึ้น และลดเสียงเสียดสีของวงล้อได้ ( ไม่แนะนำให้ใช้โลชั่น เนื่องจากอาจจะมีสารที่เป็นอันตรายแก่แฮมสเตอร์ได้
ลูกบอลออกกำลังกายสำหรับแฮมสเตอร์
ลูกบอลออกกำลังกาย เป็นของเล่นที่ควรจะมี เพราะแฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่อยากรู้อยากเห็น ชอบหลบหนี และรักการผจญภัย การโดนกักขังไว้แต่ในกรงตลอดเวลานั้น จะทำให้มันเบื่อ และเครียดได้ ลูกบอลจะดีกว่าวงล้อตรงที่ เมื่อแฮมสเตอร์วิ่งไปมาในลูกบอล ลูกบอลจะเคลื่อนที่ ทำให้แฮมสเตอร์สามารถจะวิ่งสำรวจไปมา รอบๆบ้านได้ โดยไม่ต้องถูกจำกัดให้อยู่แต่ในกรงอีกต่อไป

ลูกบอลออกกำลังกาย จะเป็นลูกบอลทรงกลมใส มีฝาปิดเปิด มีรูระบายอากาศอยู่รอบๆ มีน้ำหนักเบา ซึ่งเราสามารถจะใส่แฮมสเตอร์ลงไปในลูกบอล และปิดล็อคฝา แล้ววางลูกบอลลงนอกกรง บนพื้นเรียบที่ไม่ต่างระดับ อย่าเพิ่งกลัวว่าแฮมสเตอร์จะเวียนหัว เพราะกลิ้งกระดอนไปมาในลูกบอลนะคะ เพราะว่า ลูกบอลเหล่านี้จะได้รับการออกแบบ มาอย่างดีเชียวหละ สามารถจะกลิ้งเคลื่อนไปมาได้ โดยที่แฮมสเตอร์ไม่เสียหลักกลิ้งตีลังกาไปมาในลูกบอลเลยแม้แต่น้อย มันจะสามารถสนุกกับการท่องเที่ยวไปมารอบๆบ้านได้ โดยไม่เวียนหัวเลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากนี้การที่ลูกบอลถูกออกแบบมาให้ใส จึงช่วยให้แฮมสเตอร์สามารถจะมองเห็นทิวทัศน์ข้างนอกในขณะที่มันวิ่งไปมาใน ลูกบอลได้อีกด้วย

ข้อดีอีกอย่างของลูกบอลก็คือ แฮมสเตอร์จะไม่สามารถมุดหายไปตามซอกหลีบรอบๆบ้านได้ และลูกบอลยังช่วยป้องกันอันตรายจากสุนัขและแมวที่จะมากัดแฮมสเตอร์ได้
แต่ทั้งนี้เราต้องศึกษาวิธีการใช้ลูกบอลเสียก่อนค่ะ
1. ไม่ควรปล่อยแฮมสเตอร์ไว้ในลูกบอล นานเกินไป ซึ่งไม่ควรนานเกิน 15 นาที เพราะในลูกบอลนั้น จะอบกว่าข้างนอก และไม่มีน้ำไม่มีอาหารค่ะ
2. ควรจะระวังโดยเลือกสถานที่ๆเหมาะสม คือ พื้นห้องควรจะเรียบ ไม่ขุรขะ เพราะจะกระดอนไปมา และ ไม่ควรปล่อยไว้ใกล้บันได หรือ ท่อ โดยเด็ดขาด
3. ไม่ควรปล่อยไว้ในที่ๆ มีคนเดินไปมาขวักไขว่ เพราะคนที่เดินไปมา อาจจะไม่เห็น และเตะลูกบอลซึ่งมีแฮมสเตอร์อยู่ในนั้น แฮมสเตอร์อาจจะได้รับอันตรายได้
4. ไม่ควรจะปล่อยไว้ในบริเวณที่มีสัตว์อื่นๆ เช่น สุนัขหรือแมว
5. ไม่ควรปล่อยไว้ใกล้ถนนค่ะ เพราะอาจจะกลิ้งลงไป โดนรถทับได้
6. ควรเลือกลูกบอลที่มีขนาดพอเหมาะกับตัวแอมสเตอร์ ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป
7. ควรทำคสามสะอาดลูกบอลทุกครั้งหลังจากเล่นเสร็จ ด้วยน้ำและสบู่อ่อน ให้หมดกลิ่น ก่อนจะผึ่งให้แห้ง




เรื่องของขวดน้ำ

วันนี้เหมือนๆ จะนอกเรื่องเล็กน้อย แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้นอกเรื่องหรอกค่ะ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใกล้ตัว แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบ

ที่วันนี้เอาเรื่องนี้มาฝาก ก็เนื่องจาก เพื่อนๆ หลายๆ คนมีปัญหาเรื่องของ กระบอกน้ำกัน เช่น น้ำไหลไม่หยุด หยดตลอด แม้ว่ากระบอกน้ำที่ใช้จะเป็นกระบอกน้ำอย่างดีก็ตาม หรือปัญหาอื่นๆ เช่น น้ำไม่ไหล ทำให้แฮมสเตอร์ขาดน้ำตาย เป็นต้น
เอาล่ะค่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเนอะ
กระบอกน้ำ สำหรับแฮมสเตอร์ส่วนใหญ่ ที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาด มักจะใช้เป็นระบบลูกเหล็ก หรือ สแตนเลสกลม ๆค่ะ อาจจะมีลูกลูกสแตนเลส 1 ลูก หรือ 2 ลูกก็แล้วแต่ผู้ผลิต แต่ว่า หลักการทำงาน เหมือนๆ กันค่ะ กระบอกน้ำแบบนี้เราเรียกว่า ใช้ระบบสุญญากาศค่ะ ดูรูปประกอบ


ลูก โลหะกลมๆ 2 ลูกนี้ จะตกลงมาที่ปากกระบอก ตามหลักแรงดัน และ แรงโน้มถ่วงของโลกค่ะ เมื่อน้องแฮมต้องการจะกินน้ำ น้องแฮมจะเอาลิ้นดุน หรือ เอาฟันหน้ามากระทบๆ ลูกโลหะ ให้ลอยขึ้น ทำให้อากาศถูกปล่อยออก มาจากในขวด และน้ำก็จะไหลตามออกมาได้ แต่เมื่อน้องแฮมหยุดเคลื่อนลูกโลหะนี้ ลูกโลหะก็จะตกลงมาที่ปากขวดเหมือนเดิม และก็จะหยุดการไหลของน้ำ น้ำอาจจะหยดต่ออีก 2-3 หยดเมื่อระบบแรงดันสุญญากาศในขวดพยายามปรับตัวสู่สภาพเดิม และกลายเป็นระบบปิดอีกครั้ง ตอนเราเติมน้ำในขวด เราต้องเติมน้ำในขวดจะแบบไม่ให้มีอากาศหลงเหลืออยู่ในขวด จึง จะทำให้ในขวดยังคงเป็นสุญญากาศอยู่ หากตอนเราเติมน้ำลงในขวดไม่ดีพอ คือมีอากาศอยู่ในขวดเยอะ อากาศจะรั่ว ทำให้ระบบสุญญากาศเสีย และ ทำให้น้ำรั่วหยดตามออกมา เช่นกัน

การเติมน้ำแบบถูกต้อง คือการใส่น้ำให้เต็มกระบอกค่ะ เพื่อให้ในขวดน้ำ ไม่มีฟองอากาศเหลืออยู่ ดังภาพ แล้วหมุนปิดฝาให้แน่น

อันล่างนี้ผิดค่ะ มีอากาศหลงเหลือในขวด



เคล็ดลับก็คือ เวลากรอก กรอกน้ำให้เต็มค่ะ อย่าให้มีอากาศเหลืออยู่ในตัวขวด นั่นเอง :)
การแขวนขวดน้ำก็สำคัญ
เวลาแขวนขวดน้ำแล้ว เราต้องตรวจดูด้วยค่ะ ว่าลูกโลหะที่ปากกระบอก ตกลงมาที่ปากกระบอกหรือเปล่า บางครั้งเราพบว่าลูกโลหะค้างอยู่ ไม่ตกลงมาตรงปากกระบอก อาจจะเนื่องมาจากการแขวนขวดเอียงมากเกินไป เป็นต้น ทำให้แฮมสเตอร์กินน้ำไม่ได้ค่ะ
งี้ไม่ใช่กระบอกน้ำ ได้หรือเปล่า
ควรจะใช้กระบอกน้ำ ค่ะ เพราะว่า การใส่น้ำลงในกระบะอาหาร ไม่เหมาะสำหรับแฮมสเตอร์ค่ะ เพราะว่า ที่อยู่อาศัยของแฮมสเตอร์จะมีขี้เลื่อยปูพื้นกรง การเอาน้ำใส่กระบะอาหารนั้น ขี้เลื่อยจะกระเด็นลงไปได้ แล้วก็จะดูดซับน้ำหมด ทำให้แฮมสเตอร์ไม่มีน้ำกินค่ะ แถมเศษอาหาร หรือสิ่งสกปรกยังตกลงไปเน่าเสียอยู่ในภาชนะใส่น้ำนั้นได้อีก นอกจากนี้ เราควรจะหัดให้แม่แฮมสเตอร์กินน้ำจากกระบอกน้ำเป็นด้วย เพราะว่าไม่อย่างนั้น เพื่อนๆ จะเจอปัญหา เรื่องลูกแฮมสเตอร์จมน้ำตายในภาชนะได้ค่ะ
การล้างกระบอกน้ำก็สำคัญ นะ
เพราะว่าในขวดน้ำดื่ม ถึงจะสะอาดกว่าการใส่น้ำลงในกระบะอาหารก็จริง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะมีแบคทีเรีย ที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น การที่เราหมักหมม กระบอกน้ำเอาไว้ เป็นการไม่รักษาสุขอนามัยเลยค่ะ กระบอกน้ำบ้านใครเก่าจนตะไคร่ขึ้นบ้างไหม อย่างนั้นไม่ดีแน่ๆค่ะ เราควรจะล้างกระบอกน้ำทุกๆ วัน และเปลี่ยนน้ำสะอาดใหม่ทุกๆวัน เพื่อให้แฮมสเตอร์ได้กินน้ำอร่อยๆ สะอาดๆ และมีสุขภาพดีค่ะ


เมื่อน้องแฮมหนีไป
น้องแฮมหนีไป จะทำยังไงดี
เคยสงสัยกันบ้างไหม ว่าเจ้าตัวน้อยเหล่านี้ หลบหนีกันออกมาจากกรงได้ยังไง เจ้าตัวจิ๋วเหล่านี้เค้ามีศิลปะในการหลบหนีค่ะ เพราะเค้าชอบสำรวจ และรักการผจญภัยค่ะ การสำรวจโน่นนี่ไปรอบๆกรงนี่หละเป็นช่องทางหลบหนีของเค้าเลย เช่นหากเพื่อนๆ ลืมปิดประตูกรง เค้าก็จะเจอก่อนที่เพื่อนๆ จะรู้ตัวเสียอีก

แต่ก็มี น้องแฮมบางตัวที่ไม่สนใจจะออกไปไหน อย่างเช่น แฮมสเตอร์ที่แก่แล้ว หรือไม่ก็ขี้กลัวเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่แฮมสเตอร์ที่มักจะหลบหนี ก็คือแฮมสเตอร์ที่ยังเด็กอยู่ค่ะ แต่ก็มีแฮมสเตอร์บางตัวที่แอบหลบหนีไปท่องเที่ยว และสนุกกับอิสรภาพข้างนอกกรง แล้วก็กลับกรงมาเอง แต่ส่วนใหญ่ไปแล้ว ไปโลดค่ะ
วิธีการหนีจากตู้ปลา


การ เลี้ยงในตู้ปลา อย่างบ้านเรา แน่นนอน ว่าฝาตู้ปลา เรามักจะเปิดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะร้อน และอบมาก แต่ช่องโหว่นี้หละ น้องแฮมจะรอโอกาสค่ะ น้องแฮมจะใช้ความสูงของของเล่นให้เป็นประโยชน์ โดยจะยายามปีนของเล่น และกระโดดออกมาจากกรง แต่ว่า หากว่าของเล่นสูงไม่พอ น้องแฮมหลายๆตัว จะใช้เวฺลาโกยๆๆๆๆ ขุดๆๆๆ หวาดขี้เลื่อยที่อยู่ใต้วงล้อมากองให้วงล้อปั่นไม่ไป หือไม่ก็ทำให้วงล้อล้มลงมา เพื่ออาศัยวงล้อในการปีนหลบหนีออกมาทางค่ะ
การเลี้ยงในตะกร้าพลาสติก
น้องแฮมจะปีนตามรอบตะกร้าขึ้นมาค่ะ และหาที่เปิดกรง และเอาหัวดันฝาตะกร้าค่ะ
กรงลวด
หากปิดประตูกรงไม่ดี น้องแฮมจะหนีออกมาได้ค่ะ และหากว่าซี่กรงร่องไหน มีรูกว้างพอ น้องแฮมก็จะออกมาทางซี่กรงซี่นั้น อย่างเช่นเวลาเราใส่วงล้อ ติดกับซี่กรง บางครั้งวงล้อจะถ่างซี่กรงให้กว้างกว่าปกติ ทำให้น้องแฮมแอบหนีจากร่องนั้นค่ะ
กรงต่างประเทศ


กรงหลายๆตัว จะมีรูสำหรับเชื่อมต่อประตูท่อ หรือว่า วงล้อ ซึ่งหลายๆรุ่นจะทำจากพลาสติดที่สามารถจะกัดแทะได้ไม่ยาก น้องแฮมจะค่อยๆแทะร่องนั้นให้เป็นรูกว้าง และหลบหนีออกมาในที่สุดค่ะ
หาน้องแฮมอย่างไร
เมื่อแฮม สเตอร์หายไป ก่อนอื่นเลยค่ะ ปิดห้องแต่ละห้องก่อนค่ะ และก็อุดรูให้หมด เช่น รูท่อ เป็นต้น และเอากับดักหนู ยาเบื่อหนู หรือกาวดักหนูออกให้หมด ใครเลี้ยงแมว สุนัข เฟอเรต หรือสัตว์เบี้ยงอื่นๆ ที่มีสัญชาตญาณนักล่าอยู่ในบ้านล่ะก็ จับขังก่อนค่ะ ก่อนที่น้องแฮมจะกลายเป็นเหยื่อ

ส่วนกรงน้องแฮมนี่เราก็ควรจะเปิด ทิ้งเอาไว้ค่ะ เผื่อน้องแฮมจะเปลี่ยนใจกลับมา ไม่ต้องไปเปลี่ยนขี้เลื่อยนะคะ เป็นยังไงปล่อยไว้อย่างนั้น เพราะว่า กรงที่มีกลิ่นเดิมของเค้าอยู่จะทำให้เค้ารู้สึกปลอดภัย และใส่อาหารที่เค้าชอบเอาไว้ในกรงด้วยนะคะ เผื่อจะล่อให้น้องแฮมกลับมาได้ เช่นมีคนนึงที่แฮมสเตอร์หายไป เค้าก็เปิดกรงไว้ และใส่ขนมกลิ่นแรงๆไว้ ปรากฏว่า แฮมสเตอร์กลับเข้ามากินบิสกิตในกรงเองค่ะ อ้อ ใครที่วางกรงไว้สูงๆ อย่าลืมเอากรงมาวางตรงพื้นด้วยนะคะ น้องแฮมจะได้ปีนเข้าเองได้

ต่อ มาก็เริ่มออกค้นหากันเลย โดยเริ่มสำรวจแถวรอบๆกรงก่อน หลังจากนั้น ค่อยไปหาตามรูมุม หรือ ว่าซอกต่างๆ เช่น ซอกเตียง ซอกเฟอร์นิเจอร์ นี่ จะมีโอกาสพบน้องแฮมสูงมาก อ้อ หากเค้าเคยหนีมาก่อน ให้ไปหาที่เดิมค่ะ น้องแฮมมักอยู่แถวที่ๆเคยพบเมื่อครั้งที่แล้ว และที่ต้องระวังคือพยายามอย่าเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์นะคะ เพราะอาจจะทับน้องแฮมได้ค่ะ

หากหาไม่เจอก็อาจจะโรยแป้งไว้บนพื้นด้วยค่ะ เราอาจจะพบรอยเท้าเล็กๆในห้อง

วาง น้ำและอาหารไว้ที่ห้องที่สงสัยว่าน้องแฮมจะกบดานอยู่ หากห้องไหน น้ำหรืออาหารพร่องไป เปิดประตูห้องนั้นแล้วสำรวจ ให้ระเอียดเลยค่ะ น้องแฮมน่าจะอยู่ห้องนั้นหละ

นอกจากนี้ก็ให้สังเกต ร่องรอยค่ะ เช่น เปลือกเมล็ดทานตะวัน ตามพื้น หรือมุมต่างๆ รวมทั้งก้อนอึดำๆ ของน้องแฮม

และ ก็คอยเงี่ยหูฟังเสียงกัดแทะ กร๊อบแกร๊บ หากตามเสียงไปจะเจอตัวค่ะ โดยเฉพาะกลางคืน น้องแฮมจะตื่นตัวค่ะ และจะปีนป่าย ขบเคี้ยวโน่นนี่ ทำให้มีโอกาสได้ยินเสียงได้ง่าย

อันสุดท้ายก็คือ การทำกับดักค่ะ โดยหาถังซักใบสูงพอที่น้องแฮมจะปีนหรือกระโดดออกไม่ได้ ใส่ขนมกลิ่นแรงๆลงไป และหาสมุดหนังสือมาเรียงเป็นขั้นบันได สำหรับให้น้องแฮมปีนขึ้นไป เมื่อได้กลิ่นขนม น้องแฮมจะปีนขึ้นไป และก็ตกลงไปในถังค่ะ ทีนี้จะปีนขึ้นก็ไม่ได้ ต้องรอให้เรามาเอาออกจากถังค่ะ

ถ้าเจอน้องแฮมเพ่นพ่านอยู่จะจับยังไง
อย่าไล่ตะครุบนะคะ เค้าจะตกใจและรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ให้เราเอาภาชนะเช่นถ้วยมาล่อค่ะ หรือแกนทิชชู่ก็ได้ค่ะ เค้าจะสนใจและปีนขึ้นมาในภาชนะนั้นเอง เราก็จะจับเข้ากรงได้สบาย
ไม่หาได้ไหม
ไม่ได้ค่ะ น้องแฮมไม่สามารถจะเอาตัวรอดได้ค่ะ เพราะเราเลี้ยงจนน้องแฮมเสียสัญชาตญาณไปแล้วหละ เค้าอาจจะโดนหนูบ้าน แมว สุนัขทำร้าย หรือไม่ก็โดนเหยียบตาย หรือปีนตกลงไปในกล่อง ในภาชนะสูงๆ แล้วขึ้นมาไม่ได้ และตายในที่สุด
รีบหาเค้านะคะ ก่อนที่จะไม่ทันค่ะ



 แฮมสเตอร์ โดนมดกิน เรื่องจริงหรือ ???  

ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อใช่ไหมคะ แต่อยากจะบอกว่า มันเป็นเรื่องจริงค่ะ เรื่องจริงที่น่าเศร้าด้วย....
 เป็นไปได้อย่างไร

หลายๆคนอาจจะแอบเถียงในใจว่า "แฮมสเตอร์ตัวใหญ่กว่ามดตั้งแยะ อย่ามาโม้ จะมีแฮมสเตอร์ที่ไหน อยู่ให้มดกิน"
แต่ จริงๆแล้ว มีค่ะ เพราะว่า แฮมสเตอร์เป็นจ้าวแห่งการหลบหนี ผู้เลี้ยงอย่างพวกเรา เลยต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเลือกกรงที่สูงพอ ที่แฮมสเตอร์จะกระโดด หรือปีนหนีออกไปไม่ได้ และก็กรงที่มีซี่กรงที่แคบเพื่อป้องกันไม่ให้แฮมสเตอร์ลอดซี่กรงหนี และนี่แหละคือสาเหตุค่ะ เพราะว่า มดปีนเข้าออกกรงน้องแฮมได้ แต่แฮมสเตอร์โดนเลี้ยงอยุ่ในกรงที่ ไม่มีทางหนีออกไปได้ ดังนั้น จึงตกเป็นเหยื่อของมด ในที่สุด เพียงไม่นานค่ะ กองทัพมดจะเข้ามากัดและกินแฮมสเตอร์ นี่คือเรื่องจริงที่ ใครไม่เจอกับตัว อาจจะไม่เชื่อ แต่ว่า ป้องกันไว้เถอะค่ะ ก่อนที่น้องแฮมตัวน้อยๆ จะตกเป็นเหยื่อมด

วันนี้จึงมีเทคนิคต่างๆมาฝากเพื่อนๆ ว่าจะป้องกันได้อย่างไร ไม่ให้มดมาทำร้ายน้องแฮม
โดยการเก็บอาหารของแฮมสเตอร์ไว้ในภาชะสุญญากาศ เพื่อไม่ให้มดมาหาอาหาร
โดยการหล่อน้ำไว้ที่ขาโต๊ะ อาจจะหาซื้อที่หล่อน้ำ หรือทำเองก็ได้ค่ะ คลิ๊กเข้าไปดูที่นี่ค่ะ
โดยการโรยแป้งฝุ่นไว้รอบๆกรง ด้านนอก แป้งฝุ่นแบบที่เราใช้ทาหน้านั่นแหละค่ะ มดเกลียดมาก มดจะไม่เดินผ่านแป้งฝุ่น หรือใครจะเอาแป้งฝุ่นผสมน้ำป้ายไว้รอบๆกรงก็ได้ค่ะ หากกลัวฟุ้ง
ขยายผลต่อโดย การเอาแป้งฝุ่นไปโรยตัวมดค่ะ เมื่อไรเจอมด เมื่อนั่นโรยแป้ง แถมถ้าจะให้ดีไปโรยตรงรังมันด้วยเลย ไม่นานค่ะ มดจะเริ่มรู้สึกไม่ชอบ ท้อแท้ และย้ายหนีไปเองค่ะ
อาจจะใช้ดินสอพองก็ได้ค่ะ ขีดรอบๆกรงเลย เหมือนกันค่ะ มดไม่ชอบ
น้ำส้มสายชู วิธีง่ายๆคือใส่กระบอกฉีดน้ำค่ะ เอาน้ำส้มสายชูใส่ไว้ แล้วเอาไปพ่นที่ทางเข้าออกของมด มดจะไม่ชอบกลิ่นค่ะ และจะหนีไป แต่ไม่แนะนำให้ฉีดที่ตัวมดนะคะ มดจะตายค่ะ มันบาป
มดเกลียดกลิ่น เปปเปอร์มินท์ค่ะ ลองใช้ยาสีฟันกลิ่น เปปเปอร์มินท์ป้ายทางเข้าออกของมดก็ได้ค่ะ
พริกไทยดำ ด้วยกระแสของชีวจิต เดี๋ยวนี้เราเลยหาเม็ดพริกไทยดำได้ไม่ยากนัก ง่ายๆค่ะ เอาเม็ดพริกไทยดำไปวางตรงรูเข้าออกของมดซะ ไม่นานมดจะหนีหายไปเอง
บางคนใช้ช็อคขีด ช็อคธรรมดาแบบที่เขียนกระดานนั่นแหละ แล้วพบว่ามดไม่ข้ามมาก็มี แต่อันนี้ไม่เคยลองเหมือนกันนะคะ
กระเทียมเอามาบดผสมน้ำแล้วฉีดที่ปากทางเข้าออกของมดก็ได้ค่ะ มดไม่ชอบกลิ่น
ลองดูนะคะ ใครมีวิธีดีๆ แนะนำมาได้ ตอนนี้ที่ได้ผลสุดๆ ก็แป้งฝุ่นนี่แหละค่ะ


แฮมสเตอร์
แฮมสเตอร์แบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆได้ 2 ชนิด
แฮมสเตอร์ไม่แคระ คือ พันธุ์ Syrian
แฮมสเตอร์แคระ คือพันธุ์ Winter White, พันธุ์ Campbells, พันธุ์ Chinese และ พันธุ์ Roborovski
Winter White กับ Campbells
แฮม สเตอร์พันธุ์ Winter White และ พันธุ์ Campbells จะมีลักษณะคล้ายกันมาก จนแยกได้ค่อนข้างยาก ว่าเป็นพันธุ์อะไร โดยเฉพาะ Campbells สีธรรมดา และ Winter White สีธรรมดา จะดูยากมาก ดังภาพ


ดูกันออกไหมคะ ว่าตัวซ้าย กับตัวขวา ตัวไหน เป็น Campbells ตัวไหนเป็น Winter White
เฉลย เลยแล้วกัน ตัวที่อยู่ทาง ซ้ายมือ คือ Winter White สีธรรมดาค่ะ ตัวทางขวามือ คือ Campbells สีธรรมดาค่ะ

ที่ จริงแล้ว ด้วยความที่คล้ายกันมาก เดิมนักวิทยาศาสตร์ เคยจัด Campbells และ Winter White เป็น สปีชีย์ เดียวกัน แต่ต่อมา ก็ได้พบความแตกต่าง ของทั้ง 2 พันธุ์นี้ และได้แยกทั้ง 2 พันธุ์นี้ออกจากกันเป็นคนละสปีชีย์ โดยจัด Winter White เป็นสปีชีย์ Sungorus ส่วน Campbell เป็นสปีชีย์ Campbell ค่ะ

ถึงจะดูภายนอกคล้ายกัน แต่ทั้ง 2 พันธุ์นี้จะแตกต่างกัน จึงไม่ควรจะนำมาผสมข้ามพันธุ์กันค่ะ ว่ากันว่า 2 พันธุ์นี้ สามารถจะผสมกันได้ เพราะมีความใกล้เคียงกันสูง จำนวนโครโมโซม ก็เท่ากัน แต่ไม่แนะนำให้ผสมข้ามพันธุ์ค่ะ เพราะจะทำให้ลูกที่เกิดมา มีโอกาสพิการ หรือ ผิดปกติสูง

แล้วเวลาซื้อ จะรู้ได้อย่างไร ว่าตัวไหนเป็น Campbells หรือ Winter White
ที่ ดูยากก็คือสีธรรมดาค่ะ พอจะสังเกตุข้อแตกต่างได้ ก็คือ Campbells จะมีลายพาดบนหลัง เส้นเดียว ชัดเจนกว่า ส่วนลายด้านข้างๆ ก็จะไม่ชัดเท่า Winter White ค่ะ แต่ไม่ต้องตกใจค่ะ ในเมืองไทยเราตอนนี้เท่าที่เห็น มีการนำเข้า Campbells มาบ้างแล้ว แต่เท่าที่เห็น มีเพียงสีขาวตาแดงเท่านั้นค่ะ จึงดูง่าย ไม่สับสนค่ะ

การผสมข้ามพันธุ์อื่นๆ แฮมสเตอร์พันธุ์อื่นๆ จะผสมข้ามพันธุ์ไม่ติดค่ะ เพราะจำนวน โครโมโซม ต่างกัน และอยู่กันคนละสปีชีย์
สายพันธุ์ Syrian Winter White Russian Campbells Russian Chinese Roborovski
ภาพ
ชนิด แฮมสเตอร์ธรรมดา แฮมสเตอร์แคระ แฮมสเตอร์แคระ แฮมสเตอร์แคระ แฮมสเตอร์แคระ
ชื่อเล่น Golden, Standard, Fancy,Teddy Bear Siberian Hamster, รัสเซียนแฮมสเตอร์ ไซบีเรียนแฮมสเตอร์ Djungarian Hamster แฮมสเตอร์ที่เหมือนหนู
Striped hamster
(หางยาวได้ถึง 2 ซม.)
แฮมสเตอร์ ทะเลทราย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cricetus auratus Phodopus Sungorus Phodopus Campbelli Cricetulus griseus Phodopus Roborovski
สปีชีย์ Auratus Sungorus Campbell griseus Rovorovskii
ขนาดความยาว 15-20 เซนติเมตร 10-12 เซนติเมตร 10-12 เซนติเมตร 7.5-9 เซนติเมตร 4-5 เซนติเมตร ตัวเล็กที่สุด
น้ำหนัก 100-140 กรัม 20-28 กรัม 22-28 กรัม 38-46 กรัม
โครโมโซม 44 28 28 22 34
ระยะตั้งครรภ์ 16 วัน 18-21 วัน 18-21 วัน 21 วัน 23-30 วัน
อายุขัย 2-2.5 1.5-2ปี 1.5-2ปี 2-2.5 ปี 3-3.5 ปี เคยพบอยู่ได้นานถึง 4 ปี
ถิ่นกำเนิด พบใน Syria ที่ราบ และมีหญ้าขึ้น
ตะวันออกของคาซัคสถาน และทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ ของไซบีเรีย
ที่ราบสูง Steppes, ที่แห้ง พบในมองโกเลีย และทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของจีน อาศัยตามเนินทราย ในทะเลทราย ทางเหนือของจีน และ มองโกเลีย ที่ราบสูง กึ่งทะเลทราย
ทางตะวันออกและตะวันตก ของมองโกเลีย และทางเหนือของจีน
ตวามยากในการผสม เลี้ยงง่าย เพาะง่าย เลี้ยงง่าย เพาะง่าย เลี้ยงง่าย เพาะง่าย เลี้ยงยาก เพาะยากพอสมควร
นิสัย รักสันโดษ ไม่ชอบอยู่รวมกัน เป็นมิตรมากที่สุด อยู่รวมกันหลายตัวได้ ตามธรรมชาติอยู่เป็นคู่ หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ ตามธรรมชาติอยู่เป็นคู่ หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ ตามธรรมชาติอยู่เป็นคู่ หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ
จำนวนลูกเฉลี่ย 4-12 4-6 8 4 6
หย่านม 21 วัน 20 วัน 21 21 28-30
มีโอกาสผสมติดเมื่อ 2 เดือน 2 เดือน 2 เดือน 3 เดือน (8-12 สัปดาห์) 4 เดือน
ในเมืองไทย มีมานานแล้ว ก่อนแฮมสเตอร์แคระทุกพันธุ์ นำเข้ามาไม่นานมาก และนิยม เพราะเพาะง่าย เชื่อง ติดคน เพิ่งเริ่มมีเข้ามาในเมืองไทย
ที่พบในเมืองไทย คือ สีขาวตาแดง
ยังไม่เคยพบในเมืองไทย นำเข้ามาไม่นานมาก เป็นหนูที่พันธุ์เล็กสุด แต่ค่อนข้างตื่นคน ไว จับยาก
ซึ่งแฮมสเตอร์จะมีนิสัย ที่แตกต่างไปตามสายพันธุ์ อีกด้วย เช่น Syrian จะเป็นแฮมสเตอร์ที่รักสันโดษ มักจะกัดกัน แต่แฮมสเตอร์แคระ จะสามารถอยู่รวมกันเป็นคู่ หรือ หลายตัวได้ แต่ก็มักจะมีการกัดกันบ้างเหมือนกัน เช่น เมื่อมีหนูตัวอื่นบุกรุกมาในถิ่นของตน เป็นต้น

http://www.dek-d.com/board/view/899439/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น