สรีรวิทยาของการตั้งครรภ์ตามปกติ
1.1การตกไข่(OVULATION)
-สุนัขเพศเมียจะตกไข่ได้เองโดยไม่ต้องกระตุ้น และไข่ทั้งหมดจะตกลงมาเกือบพร้อมกัน
-สุนัขเริ่มเป็นสาว(PUBERAL)จะแสดงอาการยอมรับการผสมจากสุนัขเพ ศผู้ ล้าช้า
ออกไปประมาณ 1-2วัน และจะตกไข่ภายหลังจากการผสมครั้งแรก3-12 ชั่วโมง
-โดยทั่วๆไปสุนัขเพศเมียจะตกไข่ประมาณ 3-15ฟองต่อครั้ง(เฉลี่ย7ฟอง)ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ซึ่งสุนัขพันธุ์เล็กจะตกไข่ได้น้อยฟองกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่
1.2การปฎิสนธิ
-ตัวอสุจิ(SPERM)จะเคลื่อนที่ในอวัยวะสืบพันธุ์เพศเมียได้นานถึ ง11วัน ภายหลังการผสม
และจะมีประสิทธิภาพในการปฎิสนธิได้นาน 6วัน
-อัตราการผสมติดภายหลังการผสมครั้งเดียวจะสูงสุดมากกว่า 95% หากสุนัขเพศเมียผสมระหว่าง 3-10วัน ก่อนถึงระยะ ไดอีสตรัส (DIESTRUS)
-ลูกสุนัขจะมีชีวิตรอดสูงที่สุด หากผสมวันที่ 4 ก่อนถึงระยะ ไดอีสตัรัส
-เชื้ออสุจิ(SPERMATOZOA) อาจจะเคลื่อนที่ถึงท่อรังไข่ได้ภายใน25วินาที ภายหลังการหลั่งน้ำเชื้อ ถึงแม้จะต้องใช่เวลาปรับแต่งผิว(CAPACTATION)นานถึง7ชั่วโมง
1.3การฝังตัวการเกิดรก
-การฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้วจะเกิดขึ้นใย18-19วัน
-ถุงน้ำคล่ำ(AMNION)จะประกอบดว้ยตัวออ่นลอยอยู่ในALLANTOIC CAVITY อย่างอิสระ น้ำคล่ำจะถูกสร้างขึ้นกอ่นวันที่13
1.4ระยะเวลาการตั้งท้อง(GESTATION)
-ระยะเวลาการตั่งท้องในสุนัขประมาณ 58-71วันภายหลังการผสม(เฉลี่ย63วัน)หรือ54-60วัน ภายหลังหว้งระยะไดอีสตรัส(เฉลี่ย57วัน)
-ปริมาณเม็ดเลือดแดง(PCV-PACKED CELLVOLUME)จะลดลงในแม่สุนัขตั่งท้องโดยเฉลี่ยตั่งแต่วันที่20แ ละจะเกิดอาการโลหิตจาง(PCV=30-34%)อาจพลในสัปดาห์ที่7-9ของการต ั้งท้อง สว่นสุนัขที่ไม่ตั้งท้องนั้นจะแสดงอาการลดลงของPCVเช่นกันแต่ไม ่พบอาการโลหิตจาง
-สุนัขตั้งท้องจะแสดงอาการมี CHOLESTEROL ในโลหิตสูง และโปรตีนในโลหิตก็สูง
1.5ฮอร์โมนระหว่างตั่งครรภ์
1.5.1 โปรเจสเตอโร(PROGESTERONE)เป็นฮอร์โมนที่ชว่ยพยุงให้แม่สุนัขตั ้งท้องจนครบเทอม โดย CORPUSLUTEUMจะเจริญตลอดระยะเวลาการตั้งท้อง
1.5.2เอสโตรเจน(ESTROGEN)เป็นฮอร์โมนที่ชว่ยทำให้เกิดการเป็นสั ด และชว่ยเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของต่อมเต้านม(MAMMARY GLAND)
1.5.3ลูกทีนไน้ซิ่ง ฮอร์โมน(LUTEINZING HORMONE-LH)เป็นฮอร์โมนชว่ยทำให้ไข่ตกและการเจริญเติบโตของ CORPUS LUTEUM
1.5.4โพลลิเคิล สติมูเลติ้งฮอร์โมน เป็นฮอร์โมนที่ชว่ยการเจริญเติบโต
1.5.5โปรแลคติน(PROLACTING)เป็นฮอร์โมนที่ชว่ยพยุงCORPUS LUTEUM และการหลั่งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
2การตรวจท้อง
การวินิจฉัยการตั้งท้องในสุนัข การวินิจฉัยการตั้งท้องในแม่สุนัขสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่
2.1การคลำ (PALPATION)
เป็น วีธีที่สามารถทำได้ง่ายไม่ต้องใช้เครื่องมือ และสามารถmonitor ได้ต่อเนื่อง ตรวจพบได้ตั้งแต่วันที่ 20ถึง 30 หลังผสมครั้งแรก โดยจะคลำพบการบวมขยายของมดลูก และส่วนยึดเกาะของรกก็สามารถคลำได้ โดยในช่วงแรกจะคล้ายลูกแพรและจะค่อยๆกลมขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลา ในสุนัขที่น้ำหนักประมาณ20กิโลกรัม มดลูกอาจหนาประมาณ 2 นิ้วในช่วงวันที่ 28-30 ของการตั้งท้อง ประมาณวันที่ 30 ถึง35 หลังการตั้งท้องมดลูกจะขยายใหญ่ และปีกมดลูกจะหย่อนไปอยู่ทางด้านหน้าในส่วนของชายโครงและทางด้านล่างทำให้ ยากในการคลำ หลังวันที่ 35เป็นต้นไปจะไม่สามารถคลำมดลูกได้เนื่องจากมดลูกจะมีขนาดใหญ่กว่า 3 cm ทอดยาวและหยุ่นๆมากกว่าแข็งทำให้ยากในการคลำ หลังจากวันที่ 50 เป็นต้นไปถึงจะเริ่มกลับมาคลำพบมดลูกอีกครั้ง เนื่องจากมดลูกมีการบวมลดลงทำให้คลำพบลูกแต่และตัวได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดีการคลำตรวจนั้นจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และขึ้นอยู่กับสภาพของ สุนัขด้วย คือ สุนัขที่ผอมและไม่ค่อยเกรงเวลาคลำท้องย่อมตรวจได้ง่ายกว่า
2.2การเอ๊กซ์เรย์(RADIOGRAPHY)
-ในชว่ง21วันของการตั่งท้อง จะไม่มีอาการที่มดลูกขยายให้เห็นทางฟิล์ม X-RAYS
-ระหว่างวันที่21-24ของการตั้งท้อง จะพบมดลูกขยายใหญ่โดยภายในจะมีของเหลวบรรจุอยู่
-กระดูกของตัวออ่นเริ่มสร้างประมาณวันที่24โดยชว่งเวลาที่จะตรวจพบโครงสร้างกระดูกครั้งแรกประมาณวันที่42-52วันภายหลังการผสมค รั้งแรก
-อาจใช้วิธีตรวจดังกล่าวนี้ในแม่สุนัขตั้งท้องใกล้คลอด เพื่อตรวจหาจำนวนของตัวออ่นและวัดขนาดของกระโหลกศีรษะตัวออ่นเพ ื่อเปรียบเทียบกับชอ่งเชิงกรานขอ
เป็น การวินิจฉัยที่แน่นอน ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการตั้งท้อง x-ray จะเริ่มเห็นภาวะที่มดลูกขยายใหญ่ x rayจะไม่เห็นโครงสร้างกระดูกของลูก จนกว่าจะถึงวันที่ 42ถึง50 ส่วนโครงสร้างส่วนกะโหลกของลูกจะเริ่มมองเห็นตั้งแต่วันที่ 44-46นับแต่วันที่ระดับฮอร์โมน LH ขึ้น (ประมาณวันที่2 หลังมีอาการยืนนิ่งยอมรับการผสม) ส่วนเชิงกรานจะเริ่มมองเห็นตั้งแต่วันที่53-57 ส่วนของฟันจะเริ่มมองเห็นตั้งแต่วันที่ 58-61 ซึ่งตรงนี้ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องการผ่าคลอดด้วยว่าควรทำ หลังจากที่ x ray พบฟันแล้ว นอกจากนี้การ x ray ยังช่วยในการวินิจฉัยจำนวนของลูก รวมถึงภาวะในการคลอดยากด้วย การนับจำนวนลูกจะดูจากจำนวนของกะโหลกเพราะจะทำให้รู้ตำแหน่งของลูกและโอกาส ที่จะนับผิดพลาดค่อนข้างน้อย การพบว่าโครงสร้างกระดูกของลูกยุบตัวบ่งบอกว่าลูกตายแล้ว ส่วนการประเมินภาวะคลอดยากการดูขนาดของกะโหลกลูกเทียบกับขนาดช่องเชิงกราน ของแม่เป็นวิธีการที่ไม่สามารถบ่งบอกภาวะการคลอดยากได้แน่ชัด เนื่องจากอาจจะมีการหย่อนตัวของช่องคลอดได้อีก แต่ภาวะตรงนี้ไม่ค่อยแน่นอน นอกจากนี้
รูปภาพ

ภาพการถ่ายภาพรังสี
2.3การใช้อัลตราซาวด์(ULTRASOUND)
-เป็นวิธีที่ใช้ตรวจการตั้งท้องในแม่สุนัข และตรวจการมีชีวิตของตัวออ่นได้ดว้ย
-วิธีตรวจการมีชีวิตของตัวออ่นจะแสดงให้เห็นโดยการสังเกตการเคล ื่อนไหวของตัวออ่นและการเต้นของหัวใจ(120-140ครั้งต่อนาที)การเ ต้นของหัวใจ(HEART BEAT)จะสามารถตรวจพบได้ปประมาณ24-28วันภายหลังจากวันแรกของระยะ อีสตรัส
-หลังจากวันที่40อวัยวะของตัวออ่นเช่น ท้อง กระเพาะปัสสาวะ กระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครง และเส้นโลหิต จะตรวจพบได้
-อัลตราซาวด์ คล้ายกับการตรวจโดยเอ๊กซ์เรย์ จะไม่สามารถเปิดเผยให้เห็นถึงรายละเอียดทั้งหมดของตัวออ่นที่ปร ากฎ
ในการประเมินวันที่จะต้องอัลตราซาวน์ เราควรดูจากวันที่ระดับฮอร์โมน LH ขึ้น เป็นช่วงก่อนที่จะมีการตกไข่ หรือประมาณวันที่ 2 ที่สุนัขเริ่มมีอาการยืนนิ่ง จะได้วันที่ถูกต้องยิ่งขึ้น เพราะหากนับจากวันผสมย่อมบอกยากว่าจะเกิดการปฏิสนธิจริงวันไหนเป็นเพียงการ นับวันโดยประมาณ ถุงหุ้มตัวอ่อนสามารถตรวจพบได้เร็วที่สุดประมาณวันที่ 20 นับจากวันที่ระดับฮอร์โมน LH ขึ้น การเต้นของหัวใจลูกจะพบวันที่ 23-25 และการเคลื่อนไหวของตัวลูกจะพบวันที่34-36 การอัลตร้าซาวน์เป็นวิธีการที่สามารถตรวจพบการตั้งท้องได้ค่อนข้างเร็วและ เป็นวิธีที่ปลอดภัยมากกว่าวิธีอื่น

ภาพการอัลตราซาวน์
การตรวจเลือดหรือปัสสาวะ
เป็น การตรวจวัดระดับของฮอร์โมน relaxin เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่และมีส่วนน้อยที่สร้างจากตัวรก การตรวจใช้ชุดทดสอบ ที่ใช้วิธีทาง immunoassays เป็นฮอร์โมนที่ตรวจพบเฉพาะในสุนัขที่ท้องโดยจะพบตั้งแต่ช่วงกลางของการตั้ง ท้องเป็นต้นไป ฮอร์โมนนี้จะไม่พบในสุนัขที่ท้องเทียม ผู้สนใจสามารถสอบถามเพื่อตรวจสอบได้ตามโรงพยาบาลสัตว์ทั่วไป(ตามรูป)
ภาพชุดตรวจสอบการตั้งครรภ์


สุนัขท้องจะขึ้น 2 ขีดแบบนี้

3โภชนาการและการจัดการ (NUTRITION AND MANAGEMENT)
-ตัวออ่นจะเพิ่มขนาดขึ้นเล็กน้อยระหว่างชว่ง4สัปดาห์แรก ดังนั้นเป้าหมาจึงควรรักษาสภาพน้ำหนักของแม่สุนัขในชว่งนี้อย่า งเต็มที่ ในชว่งครั้งหลังของการตั้งท้องปริมาณของพลังงานและอาหารที่แม่ส ุนัขได้รับควรเพิ่มขึ้น30-50%และจำนวนครั้งในการให้อาหารแต่ละว ันควรเพิ่มเป็น3ครั้งจาก1หรือ2ครั้ง
-โดยทั่วไปการใช้วิตามินเสริมระหว่างการตั้งท้องควรงด หรือให้อย่างจำกัด เช่น วิตามินทางการค้าซึ่งผลิตเพื่อสุนัขโดยเฉพาะ และใช้ตามขนาดที่ผู้ผลิตแนะนำเท่านั้น
-การเสริมโปรตีน ไม่ควรเกิน20%ของปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ให้ในสัปดาห์สุดท้ายขอ งการตั้งท้อง
-การออกกำลังกายประจำวันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแม่สุนัขก่อนคลอด และควรทำจนกระทั่งใกล้ถึงกำหนดคลอด
-เจ้าของสุนัขควรเตรียมกระบะคลอดสำหรับให้แม่สุนัขนอนในชว่ง7-1 0วันสุดท้ายก่อนคลอดโดยขอบกระบะควรสูงพอต่อการป้องกันมิให้ลูกส ุนัขคลอดใหม่คลานออกไปได้ และควรบุกระบะดว้ยกระดาษเพื่อให้แม่สุนัขใช้ปูรองให้กับลูกสุนั ข(NESTING BEHAVIOR)
-อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำคลอด ควรเตรียมไว้ให้พร้องเช่น ผ้าเช็ดตัว ด้าย และทิงเจอร์ไอโอดีนเป็นต้น
-ประมาณ5-7วันก่อนถึงกำหนดคลอด ควรอาบน้ำให้แม่สุนัข และตัดขนบริเวณรอบๆปากช่องคลอดรวมทั้งบริเวณเต้านมออก
-อาจนำสุนัขไปตรวจท้องโดยการ X-RAYS อีกครั้งในชว่งสัปดาห์สุดท้าย เพื่อยืนยันจำนวนลูกสุนัขในท้องสำหรับการเตรียมทำคลอด อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบทางรังสีจากการวินิ จฉัยลูกสุนัขในท้องก่อนคลอด ถึงแม้จะฉายรังสีในสัตว์ต่างๆนั้นจะไม่มีความปลอดภัยก็ตาม
4.การคลอด(PARTURITION)
-ระหว่างวันที่5-10วันสุดท้ายของการตั้งท้อง FETAL PITUITARYจะถูกกระตุ้น(จากความเคลียดหรือสภาวะโลหิตขาดอ๊อกซิเจ น)ให้หลั่งซึ่งจะไปกระตุ้น FETAL ADRENALGLANDให้หลั่งปรากำการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นในชว่ง12-24 ชั่วโมงสุดท้าย CORTISOLจากแม่สุนัขจะเพิ่มสูงสุด
4.2ชอ่งคลอดขยาย
-ในขั้นตอนนี้จะเกิดการหดตัวของมดลูก คอมดลูกขยายซึ่งยากต่อการสังเกตอาการดังกล่าวจากพฤติกรรมสุนัข ถึงแม้กล้ามเนื้อของมดลูกเกิดการหดตัวแต่ไม่สามารถมองเห็นได้จา กภายนอก สุนัขจะแสดงอาการกระวนกระวาย เบื่ออาหารและตัวสั่น อาการภายนอกที่พบได้มากเช่น อาการหอบทั้งชีพจรและอั ตราการหายใจเพิ่มสูงขึ้น บางครั้งอาเจียน ในชว่งแรกของขั้นนี้อาจเดินงุ่มง่าม และชว่งหลังๆจะหลบหาที่เงียบๆเพื่อเตรียมที่คลอด
-ขั้นนี้จะใช้เวลาประมาณ6-12ชั่วโมงซึ่งเจ้าของสุนัขไม่จำเป็นต ้องเข้าไปชว่ยเหลือแต่อย่างใด เพียงแต่ปล่อยให้แม่สุนัขอยู่เงียบๆตามลำพัง
4.3การขับลูกออกมา
-ในชว่งนี้จะเป็นการคลอดลูกสุนัข โดยลูกสุนัขแต่ละตัวจะเคลื่อนผ่านคอมดลูกและชอ่งคลอดออกมาภายนอ ก ระยะเวลาของขั้นนี้ในแม่สุนัขประมาณ3-6ชั่วโมง ถึงแม้ว่าแม่สุนัขบางตัวอาจใช้เวลาถึง12ชั่วโมง จนกว่าจะคลอดจนสำเร็จ แม่สุนัขมักจะนอนตะแคงลง และผู้เลี้ยงจะสังเกตเห็นอาการหดตัวของกล้ามเนื้อได้จากการเคลื ่อนไหวของผนังช่องท้อง ซึ่งการหดตัวดังกล่าวนี้ยังไม่จำเป็นต่อการคลอดของลูกสุนัข
-สิ่งรบกวนต่างๆ จากภายนอกรอบตัวสุนัขควรจะหลีกเลี่ยงอย่าให้มี เนื่องจากแม่สุนัขสามารถควบคุมการยับยั้งลมเบ่งในการคลอดลูกได้ หากได้รับการรบกวน
-CHORIOALLANTOIS จะแตกในระหว่างที่ลูกสุนัขกำลังเคลื่อนตัวผ่านทางเดิน หรือถูกแม่สุนัขฉีกขาด ถุงน้ำค่ำเป็นเยื่อหุ้มตัวลูกสุนัขเมื่อคลอดออกมาประมาณ40%ของจ ำนวนลูกสุนัขที่คลอดจะใช้ท่าหันก้นและสว่นท้ายออกมา ซึ่งในสุนัขไม่ถือว่าเป็นท่าคลอดที่ผิดปกติแต่อย่างใด
-ลูกสุนัขจะคลอดออกมาโดยเฉลี่ยทุก1/2ถึง1ชั่วโมงจนกระทั่งการคล อดเสร็จสมบรูณ์ซึ่งชว่งห่างของการคลอดสุนัขแต่ละตัวนั้นมีระยะเ วลาที่ไม่แน่นอน โดยแม่สุนัขอาจคลอดลูกออกมา2-3ตัวในระยะติดๆกันแล้วจึงพักหลายช ั่วโมงแล้วคลอดลูกอีกจนกว่าจะคลอดเสร็จ
-แม่สุนัขจะเลียให้ลูกสุนัขอย่างรุนแรงเพื่อขจัดเอาเยื่อหุ้มต่ างๆออกจากดบริเวณศรีษะ และกระตุ้นการหายใจของลูกสุนัข แม่สุนัขจะตัดสายสะดือโดยใช้ฟัน และบางครั้งจะกินรกเข้าไป ถ้าผู้เลี้ยงไม่แยกรกออกไปก่อน
-การชว่ยคลอดในขั้นตอนนี้จะทำให้มีลูกสุนัขรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้ น โดยปกติหากพบลูกสุนัขออกมาอยู่ที่VULVAเจ้าของอย่าพยามดึง เนื่องจากสว่นขาจะหลุดออกจากลำตัวได้ง่าย ควรใช้ความนิ่มนวลในการชว่ยเหลือภายหลังจากที่แม่สุนัขหมดแรงเบ ่งไปแล้ว15-20นาที หากแม่สุนัขเลียลูกสุนัขเจ้าของไม่ควรเข้าไปกวน แต่ถ้าแม่สุนัขละทิ้งลูกเจ้าของควรใช้ผ้าเช็ดศรีษะของลูกสุนัขใ ห้แหง้โดยเร็ว ดูดของเหลวออกปากและจมูก และถูตามตังลูกสุนัขอย่างแรนำลูกสุนัขใส่ไว้ในอุ้งมือแล้วแกว่ง ขาคู่หน้า เพื่อให้เมือกต่างๆที่อยู่ในทางเดินหายใจหลุดออกมา ควรปล่อยให้อยู่ปะปนกับลูกประมาณ5-10นาทีแล้วผูกปมเชื่อก2แห่งโ ดยใช้ด้ายแล้วตัดสความคิดเห็นที่ 2
ายสะดือระหว่างปมทั้งสองออกหลังจากนั้นใช้TIN CTURE IODINEแต้มที่รอยแผลควรปล่อยให้ลูกสุนัขได้อยู่กับแม่ซึ่งแม่สุ นัขอาจจะไม่ดูแลลูกเลยจนกว่าการคลอดจะเสร็จสมบรูณ์ แต่ลูกสุนัขต้องการความอบอุ่นการเอาใจใส่และการสัมผัสจากแม่
4.4การขับรกออกมา
-แม่สุนัขสว่นใหญ่จะขับรกทิ้งทันทีภายหลังการคลอดหรือภายใน5-15 นาที หลังจากนั้นถ้าลูกสุนัขคลอดโดยการสลับกันออกมาจากปีกมดลูกแต่ละ ข้าง อาจจะคลอดลูก2ตัวติดต่อกัน แล้วจึงขับรกทั้งสองตามออกมา เจ้าของควรนับจำนวนของรกเพื่อตรวจสอบว่ารกได้ออกมาครบตามจำนวนข องลูกสุนัขที่คลอด
-ไม่มีข้อมูลยืนยันให้ทราบว่ารกมีประโยชน์ต่อแม่สุนัขอย่างไร แต่มันอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างอ่อนหรืออาเจียนหากกินเข้ าไป แม่สุนัขสว่นใหญ่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นชั่วคราวภายหลังการคลอด
-หากการคลอดเป็นปกติ และแม่สุนัขดูแลลูกกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องให้OXYTOCIN5-20ยูนิตผเ ข้ากล้ามเนื้อ)เพื่อกระตุ้นให้มดลูกกลับคืนสภาพ
-การกลับคืนสภาพของมดลูกจะเกิดขึ้น4-5สัปดาห์หลังการคลอด ในระหว่างเวลาดังกล่าวนี้อาจมีน้ำสีเขียวหรือสีน้ำตาลแดงผ่านออ กมา
-ในระยะเวลา1สัปดาห์ภายหลังการคลอดปีกมดลูกจะมีผนังหนา3ถึง3.5ซ ม.สัปดาห์ที่6หลังจากการคลอดENDOMETRIUMทั้งหมดจะอยู่ในขบวนการ ของการคลอดหลุด และใน3เดือนหลังจากคลอดมดลูกจะได้รับการซอ่มแซมสว่นที่สึกหรอโด ยผนังมดลูกจะหนาเพียง0.5ซม.และจะสมบรูณ์130วันหลังการคลอด
วิวัฒนาการลูกสุนัขในท้องแม่

สัปดาห์ที่ 1
พัฒนาการของลูกสุนัข
- เกิดการปฏิสนธิระหว่างไข่ (Ovum) ของแม่สุนัขกับตัวอสุจิของพ่อสุนัข
- ตัวอ่อนระยะเอ็มบริโอ (Embryo) แบ่งตัวเป็น 2 เซล บริเวณท่อนำไข่ (Oviduct)
- ในระยะนี้ตัวอ่อนมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกที่เข้ามากระทบต่อตัวแม่สุนัขได้ไม่มากนัก
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- ในสุนัขบางตัวอาจพบอาการแปลกๆที่ไม่เคยพบมาก่อนเราเรียกอาการนี้ว่า “อาการแพ้ท้อง”
การดูแลแม่สุนัข
- การให้อาหารแก่แม่สุนัขจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- สอบถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่ได้ให้แก่แม่สุนัขโดยเฉพาะยาต่างๆ ซึ่งอาจเกิดปัญหาแก่ลูกสุนัขในท้องได้
- ห้ามใช้ยากำจัดแมลงเช่น ยากำจัดเห็บหรือหมัดในช่วงเวลานี้
- ห้ามให้วัคซีนเชื้อเป็นแก่แม่สุนัขเด็ดขาด
สัปดาห์ที่ 2 (วันที่ 8-14)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- ต้นสัปดาห์ ตัวอ่อนระยะเอ็มบริโอจะแบ่งตัวเป็น 4 เซลและช่วงท้ายสัปดาห์พบว่าเอ็มบริโอแบ่งตัวถึง 64 เซล
- เอ็มบริโอเดินทางเข้ามาสู่มดลูก (uterus) ของแม่สุนัข
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- อาจพบอาการแพ้ท้องในสุนัขบางตัว
การดูแลแม่สุนัข
- ดูแลต่อเนื่องจากสัปดาห์แรก
สัปดาห์ที่ 3 (วันที่ 15-21)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- เกิดการฝังตัวของเอ็มบริโอบริเวณมดลูกของแม่สุนัขในวันที่ 19
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสัปดาห์ที่ก่อน
การดูแลแม่สุนัข
- ดูแลต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 4 (วันที่ 22-28)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- มีการเจริญของตาและไขสันหลัง ตัวอ่อนในระยะนี้เรียกว่า ฟีตัส (Fetus)
- ลักษณะของตัวอ่อนมองดูคล้ายก้อนอุจจาระ
- ฟีตัสมีขนาด 5-10 X 14-15 มม.
- เกิดขบวนการสร้างอวัยวะต่างๆในช่วงนี้หากมีผลกระทบที่มีต่อฟีตัสอาจทำให้เกิดความผิดปกติหรือความพิการได้
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- อาจพบสิ่งคัดหลั่งสีใสไหลออกมาจากช่องคลอด
- เต้านมเริ่มมีการพัฒนาขยายใหญ่ขึ้นในระยะนี้
การดูแลแม่สุนัข
- ตั้งแต่วันที่ 26 ขึ้นไป การคลำบริเวณช่องท้องของแม่สุนัขอาจจะทำนายผลการตั้งท้องว่าตั้งท้องหรือไม่ได้ หรืออาจให้สัตวแพทย์ยืนยันการตั้งท้องโดยใช้วิธีการอัลตร้าซาวด์ (ultrasound)
- ในระยะนี้ระมัดระวังการกระทบกระแทกอันเนื่องมาจากการกระโดด การวิ่งเป็นระยะทางไกลๆหรือการเล่นที่รุนแรง
- ควรเพิ่มเนยแข็ง (Cheese) หรือไข่ต้มสุกประมาณ 1/4 ถ้วย ในอาหารแม่สุนัขในแต่ละวัน
สัปดาห์ที่ 5 (วันที่ 29-35)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- ขบวนการสร้างอวัยวะ(Organogenesis) จะมีการสร้างจนมีอวัยวะครบในช่วงเวลานี้
- ลักษณะของฟีตัสมองดูคล้ายสุนัขมากขึ้นมีขนาด 18-30 มม.
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- พบการบวม-ขยายใหญ่บริเวณช่องท้องอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักตัวจะเพิ่มสูงขึ้น
การดูแลแม่สุนัข
- เพิ่มจำนวนอาหารที่ให้ขึ้นเล็กน้อยและควรเปลี่ยนเป็นอาหารสูตรที่ใช้เลี้ยงลูกสุนัข
- หากให้อาหารวันละ 1 มื้อ ควรจะเพิ่มมื้อพิเศษให้อีก 1 มื้อ หากให้วันละ 2 มื้อ ควรเพิ่มจำนวนอาหารให้อีกเล็กน้อยในแต่ละมื้อ
- ในแต่ละวันควรให้วิตามินรวมเสริม
สัปดาห์ที่ 6 (วันที่ 36-42)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- ระยะนี้จะพบว่าเกิดการสร้างสีบริเวณผิวหนังขึ้น
- เมื่อใช้หูฟัง (stethoscope) ฟังเสียงหัวใจจะพบเสียงเต้นของหัวใจของฟีตัส
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- หัวนมมีการขยายใหญ่และมีสีคล้ำขึ้น
- ช่องท้องมีขนาดใหญ่ต่อเนื่องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การดูแลแม่สุนัข
- เพิ่มเนยแข็งหรือไข่ต้มสุกในอาหารแม่สุนัขทุกวัน
- เพิ่มจำนวนอาหารให้แก่แม่สุนัขในมื้อพิเศษ
- ฝึกให้แม่สุนัขอยู่ในบริเวณที่เตรียมไว้สำหรับการคลอด
สัปดาห์ที่ 7 (วันที่ 43-49)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- การเจริญเติบโตและพัฒนาการจะมีอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- ขนบริเวณส่วนท้องจะเริ่มมีการหลุดร่วง
- แม่สุนัขจะเริ่มมองหาจุดที่จะทำการคลอด
การดูแลแม่สุนัข
- ในแม่สุนัขบางตัวควรระมัดระวังเรื่องการกระโดด
- เพิ่มจำนวนอาหารอีกเล็กน้อยให้ทั้ง 2 มื้อ
- พิจารณาการทำ X-ray เพื่อตรวจดูจำนวนและขนาดของลูกสุนัขในท้อง
สัปดาห์ที่ 8 (วันที่ 50-57)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- สามารถตรวจพบการเคลื่อนไหวของฟีตัสในขณะที่แม่สุนัขนอนพักได้
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- เมื่อบีบบริเวณหัวนมอาจพบว่ามีน้ำนมไหลออกมา
การดูแลแม่สุนัข
- ให้อาหารเพิ่มอีกในระหว่างมื้อปกติ
สัปดาห์ที่ 9 (วันที่ 58-65)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- การเจริญเติบโตและพัฒนาการจะมีอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- พบพฤติกรรมการทำรังของแม่สุนัขให้เห็น
- อุณหภูมิของร่างกายจะอยู่ที่ประมาณ 100.2-100.8 ํF
- หากอุณหภูมิลดลงไปอยู่ที่ 98-99.4 ํF คาดการณ์ได้ว่าลูกสุนัขจะออกมาภายใน 24 ชั่วโมง
การดูแลช่วงใกล้คลอด พบว่าในช่วงใกล้คลอด
แม่สุนัขจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายนอกเหนือจากช่องท้องที่ขยายดังนี้
1. เต้านมมีการขยายตัวทุกเต้า พบว่าก่อนการคลอดประมาณตั้งแต่ 2 อาทิตย์ก่อนคลอด พบว่ามีน้ำนมไหล
2. การไม่ยอมทานอาหารก่อนการคลอด พบว่า ระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมงก่อนคลอดเป็นช่วงที่เจ้าของสุนัขควรเฝ้าจับตาดูเพื่อช่วยคลอด
3. อุณหภูมิลดลงก่อนการคลอด มักพบว่าเกิดก่อนการคลอด 12-18 ชั่วโมงก่อนการคลอด
การดูแลแม่สุนัข
- วัดอุณหภูมิและจดบันทึกวันละ 3 ครั้ง ร่วมกับการดูแลอย่างใกล้ชิด
......................................................................................................................................
@ ต้องให้ลูกสุนัขทุกตัวได้ดูดนมน้ำเหลืองที่ได้จากแม่สุนัขอย่างเต็มที่ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
@ สิ่งคัดหลั่งที่ออกมาจากช่องคลอดควรจะมีสีแดง-แดงน้ำตาล (อาจพบมีสีเขียวในวันแรกหลังคลอดถือว่าปกติ) ถ้าหากพบสีดำควรไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน
@ 5-6 ชั่วโมงภายหลังที่ลูกตัวสุดท้ายเกิด ควรพาลูกสุนัขและแม่สุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและตรวจสอบว่าไม่มีลูกสุนัขหรือรกค้างอยู่ในตัวแม่สุนัข

สัปดาห์ที่ 1
พัฒนาการของลูกสุนัข
- เกิดการปฏิสนธิระหว่างไข่ (Ovum) ของแม่สุนัขกับตัวอสุจิของพ่อสุนัข
- ตัวอ่อนระยะเอ็มบริโอ (Embryo) แบ่งตัวเป็น 2 เซล บริเวณท่อนำไข่ (Oviduct)
- ในระยะนี้ตัวอ่อนมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกที่เข้ามากระทบต่อตัวแม่สุนัขได้ไม่มากนัก
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- ในสุนัขบางตัวอาจพบอาการแปลกๆที่ไม่เคยพบมาก่อนเราเรียกอาการนี้ว่า “อาการแพ้ท้อง”
การดูแลแม่สุนัข
- การให้อาหารแก่แม่สุนัขจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
- สอบถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่ได้ให้แก่แม่สุนัขโดยเฉพาะยาต่างๆ ซึ่งอาจเกิดปัญหาแก่ลูกสุนัขในท้องได้
- ห้ามใช้ยากำจัดแมลงเช่น ยากำจัดเห็บหรือหมัดในช่วงเวลานี้
- ห้ามให้วัคซีนเชื้อเป็นแก่แม่สุนัขเด็ดขาด
สัปดาห์ที่ 2 (วันที่ 8-14)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- ต้นสัปดาห์ ตัวอ่อนระยะเอ็มบริโอจะแบ่งตัวเป็น 4 เซลและช่วงท้ายสัปดาห์พบว่าเอ็มบริโอแบ่งตัวถึง 64 เซล
- เอ็มบริโอเดินทางเข้ามาสู่มดลูก (uterus) ของแม่สุนัข
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- อาจพบอาการแพ้ท้องในสุนัขบางตัว
การดูแลแม่สุนัข
- ดูแลต่อเนื่องจากสัปดาห์แรก
สัปดาห์ที่ 3 (วันที่ 15-21)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- เกิดการฝังตัวของเอ็มบริโอบริเวณมดลูกของแม่สุนัขในวันที่ 19
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสัปดาห์ที่ก่อน
การดูแลแม่สุนัข
- ดูแลต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 4 (วันที่ 22-28)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- มีการเจริญของตาและไขสันหลัง ตัวอ่อนในระยะนี้เรียกว่า ฟีตัส (Fetus)
- ลักษณะของตัวอ่อนมองดูคล้ายก้อนอุจจาระ
- ฟีตัสมีขนาด 5-10 X 14-15 มม.
- เกิดขบวนการสร้างอวัยวะต่างๆในช่วงนี้หากมีผลกระทบที่มีต่อฟีตัสอาจทำให้เกิดความผิดปกติหรือความพิการได้
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- อาจพบสิ่งคัดหลั่งสีใสไหลออกมาจากช่องคลอด
- เต้านมเริ่มมีการพัฒนาขยายใหญ่ขึ้นในระยะนี้
การดูแลแม่สุนัข
- ตั้งแต่วันที่ 26 ขึ้นไป การคลำบริเวณช่องท้องของแม่สุนัขอาจจะทำนายผลการตั้งท้องว่าตั้งท้องหรือไม่ได้ หรืออาจให้สัตวแพทย์ยืนยันการตั้งท้องโดยใช้วิธีการอัลตร้าซาวด์ (ultrasound)
- ในระยะนี้ระมัดระวังการกระทบกระแทกอันเนื่องมาจากการกระโดด การวิ่งเป็นระยะทางไกลๆหรือการเล่นที่รุนแรง
- ควรเพิ่มเนยแข็ง (Cheese) หรือไข่ต้มสุกประมาณ 1/4 ถ้วย ในอาหารแม่สุนัขในแต่ละวัน
สัปดาห์ที่ 5 (วันที่ 29-35)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- ขบวนการสร้างอวัยวะ(Organogenesis) จะมีการสร้างจนมีอวัยวะครบในช่วงเวลานี้
- ลักษณะของฟีตัสมองดูคล้ายสุนัขมากขึ้นมีขนาด 18-30 มม.
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- พบการบวม-ขยายใหญ่บริเวณช่องท้องอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักตัวจะเพิ่มสูงขึ้น
การดูแลแม่สุนัข
- เพิ่มจำนวนอาหารที่ให้ขึ้นเล็กน้อยและควรเปลี่ยนเป็นอาหารสูตรที่ใช้เลี้ยงลูกสุนัข
- หากให้อาหารวันละ 1 มื้อ ควรจะเพิ่มมื้อพิเศษให้อีก 1 มื้อ หากให้วันละ 2 มื้อ ควรเพิ่มจำนวนอาหารให้อีกเล็กน้อยในแต่ละมื้อ
- ในแต่ละวันควรให้วิตามินรวมเสริม
สัปดาห์ที่ 6 (วันที่ 36-42)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- ระยะนี้จะพบว่าเกิดการสร้างสีบริเวณผิวหนังขึ้น
- เมื่อใช้หูฟัง (stethoscope) ฟังเสียงหัวใจจะพบเสียงเต้นของหัวใจของฟีตัส
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- หัวนมมีการขยายใหญ่และมีสีคล้ำขึ้น
- ช่องท้องมีขนาดใหญ่ต่อเนื่องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การดูแลแม่สุนัข
- เพิ่มเนยแข็งหรือไข่ต้มสุกในอาหารแม่สุนัขทุกวัน
- เพิ่มจำนวนอาหารให้แก่แม่สุนัขในมื้อพิเศษ
- ฝึกให้แม่สุนัขอยู่ในบริเวณที่เตรียมไว้สำหรับการคลอด
สัปดาห์ที่ 7 (วันที่ 43-49)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- การเจริญเติบโตและพัฒนาการจะมีอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- ขนบริเวณส่วนท้องจะเริ่มมีการหลุดร่วง
- แม่สุนัขจะเริ่มมองหาจุดที่จะทำการคลอด
การดูแลแม่สุนัข
- ในแม่สุนัขบางตัวควรระมัดระวังเรื่องการกระโดด
- เพิ่มจำนวนอาหารอีกเล็กน้อยให้ทั้ง 2 มื้อ
- พิจารณาการทำ X-ray เพื่อตรวจดูจำนวนและขนาดของลูกสุนัขในท้อง
สัปดาห์ที่ 8 (วันที่ 50-57)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- สามารถตรวจพบการเคลื่อนไหวของฟีตัสในขณะที่แม่สุนัขนอนพักได้
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- เมื่อบีบบริเวณหัวนมอาจพบว่ามีน้ำนมไหลออกมา
การดูแลแม่สุนัข
- ให้อาหารเพิ่มอีกในระหว่างมื้อปกติ
สัปดาห์ที่ 9 (วันที่ 58-65)
พัฒนาการของลูกสุนัข
- การเจริญเติบโตและพัฒนาการจะมีอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงของแม่สุนัข
- พบพฤติกรรมการทำรังของแม่สุนัขให้เห็น
- อุณหภูมิของร่างกายจะอยู่ที่ประมาณ 100.2-100.8 ํF
- หากอุณหภูมิลดลงไปอยู่ที่ 98-99.4 ํF คาดการณ์ได้ว่าลูกสุนัขจะออกมาภายใน 24 ชั่วโมง
การดูแลช่วงใกล้คลอด พบว่าในช่วงใกล้คลอด
แม่สุนัขจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายนอกเหนือจากช่องท้องที่ขยายดังนี้
1. เต้านมมีการขยายตัวทุกเต้า พบว่าก่อนการคลอดประมาณตั้งแต่ 2 อาทิตย์ก่อนคลอด พบว่ามีน้ำนมไหล
2. การไม่ยอมทานอาหารก่อนการคลอด พบว่า ระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมงก่อนคลอดเป็นช่วงที่เจ้าของสุนัขควรเฝ้าจับตาดูเพื่อช่วยคลอด
3. อุณหภูมิลดลงก่อนการคลอด มักพบว่าเกิดก่อนการคลอด 12-18 ชั่วโมงก่อนการคลอด
การดูแลแม่สุนัข
- วัดอุณหภูมิและจดบันทึกวันละ 3 ครั้ง ร่วมกับการดูแลอย่างใกล้ชิด
......................................................................................................................................
@ ต้องให้ลูกสุนัขทุกตัวได้ดูดนมน้ำเหลืองที่ได้จากแม่สุนัขอย่างเต็มที่ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
@ สิ่งคัดหลั่งที่ออกมาจากช่องคลอดควรจะมีสีแดง-แดงน้ำตาล (อาจพบมีสีเขียวในวันแรกหลังคลอดถือว่าปกติ) ถ้าหากพบสีดำควรไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน
@ 5-6 ชั่วโมงภายหลังที่ลูกตัวสุดท้ายเกิด ควรพาลูกสุนัขและแม่สุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและตรวจสอบว่าไม่มีลูกสุนัขหรือรกค้างอยู่ในตัวแม่สุนัข
ภาวะคลอดยาก
หากแม่สุนัขไม่สามารถเบ่งคลอดลุกได้ตามปกติ เราเรียกว่าเกิดภาวะคลอดยาก โดยแบ่งสาเหตุการเกิดเป็น
ปัญหาที่ตัวแม่สุนัข
ได้แก่ ปัญหามดลูกอ่อนตัว ไม่มีแรงบีบตัว แม่สุนัขขี้กลัวหรือกระวนกระวายมากกว่าปกติทำให้ไม่ยอมเบ่งคลอด ในบางรายมีปัญหาช่องเชิงกรานแคบอาจเป็นมาแต่กำเนิดหรือเกิดจากอุบัติเหตุก็ ได้ และปัญหาช่องคลอดมีการบีบรัดตัวมากกว่าปกติ สุนัขมีปัญหาไส้เลื่อนขาหนีบและมีภาวะมดลูกบิดตัว หรือในรายที่แม่สุนัขอ้วนก็มีส่วนทำให้คลอดยาก
ปัญหาที่ตัวลูก
ได้แก่ ปัญหาลูกมีขนาดใหญ่มากเกินไป อาจเกิดเนื่องจากมีลูกเพียงตัวเดียวในมดลูกทำให้ลูกเจริญเติบโตได้ดี หรือเกิดจากการที่สุนัขพ่อพันธุ์มีขนาดใหญ่กว่าแม่สุนัขค่อนข้างมาก นอกจากนี้ในบางรายมีปัญหาคลอดยากจากการที่ลูกอยู่ในท่าที่ผิดปกติ เช่น หัวพับคว่ำลงด้านล่าง โผล่ขาออกมาข้างเดียวแล้วไหล่ติดอยู่
การเตรียมตัวรับมือภาวะคลอด โอกาสที่จะพบการคลอดยากมีดังนี้
1. ประเมินดูปัจจัยเสี่ยง สุนัข พันธุ์หน้าสั้น มักจะมีปัญหาช่องเชิงกรานเล็กหรือแคบกว่าปกติ
และลูกสุนัขพันธุ์Bulldogs, Boston Terriers, Scottish Terriers มักจะมีปัญหาหัวค่อนข้างโตและมีไหล่กว้างทำให้มีปัญหาคลอดยากได้ง่าย สุนัขพันธุ์เล็ก มักจะค่อนข้างกระสับกระส่ายและขี้กลัวทำให้ไม่ยอมเบ่งและมีปัญหามดลูกเฉื่อย ตามมา นอกจากนี้ส่วนมากสุนัขตัวเล็กมักจะมีลูกเพียงแค่ 1 ตัวทำให้ลูกมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าปกติ สุนัขพันธุ์ใหญ่ ส่วนมากมักไม่ค่อยมีปัญหาการคลอดยาก อย่างไรก็ดีสุนัขพันธุ์ใหญ่มักจะมีจำนวนลูกค่อนข้างเยอะ ทำให้มักมีปัญหามดลูกล้าจากการที่ต้องเบ่งคลอดเป็นเวลานานได้ นอกจากนี้ควรดูจากประวัติเก่า สุนัขที่เคยมีปัญหาคลอดยากในครั้งก่อน มีโอกาสที่จะคลอดยากได้สูง
2. ประเมินระยะที่เหมาะสมในการตั้งท้อง
ทำได้หลายวิธีถ้าให้ดีควรตรวจเซลล์เยื่อบุช่องคลอด ระยะเวลาการตั้งท้องจะประมาณ 56-58 วันนับจากวันที่สุนัขเข้าสู่ระยะ diestrus นอกจากนี้อาจประเมินโดยดูจากวันผสม (ประมาณวันที่63-64 นับจากวันที่ผสมครั้งแรก) สุนัขที่มีจำนวนลูกค่อนข้างเยอะมักจะคลอดเร็วกว่าสุนัขที่มีลูกไม่กี่ตัว
3. การ x ray และการทำ ultrasound ควร ทำเพื่อยืนยันว่าสุนัขท้องจริงหรือเปล่า
สุนัขที่มีภาวะท้องเทียมอาจมีอาการคุ้ยเขี่ยทำรัง หรืออาการเบ่งคลอดได้เหมือนกัน การ x ray จะช่วยระบุตำแหน่งของลูก ดูท่าของลูกในท้องว่าอยู่ผิดท่าหรือไม่ ดูขนาดของลูก ซึ่งจะช่วยประเมินว่าสุนัขมีโอกาสคลอดยากหรือไม่ นอกจากนี้ยังช่วยในการบอกภาวะลูกตายได้ในกรณีที่โครงกระดูกของลูกอยู่ผิดรูป ร่างไป หรือมีก๊าซอยู่รอบๆตัวลูก การ ultrasound จะช่วยดูว่าลูกยังมีชีวิตหรือไม่ โดยดูจากการเต้นของหัวใจลูก
เจ้าของหลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อไหร่ถึงจะถือว่าสุนัขมีปัญหาคลอดยาก
1. ในกรณีที่แม่สุนัขเบ่งคลอดติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 30-60 นาที โดยไม่มีลูกออกมา
2. หลังจากที่มีลูกออกมาแล้ว 4-6 ชั่วโมงแล้วยังไม่มีลูกออกมาเพิ่มเติมอีก
3. สุนัขไม่มีลูกออกมาเลยภายใน 24 ถึง 36 ชั่วโมง หลังจากที่อุณหภูมิเริ่มลดต่ำกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์
4. สุนัขมีอาการส่งเสียงร้อง และเลียหรือกัดบริเวณอวัยวะเพศ ระหว่างที่กำลังคลอดลูก
5. สุนัขมีการตั้งท้องนานกว่า 70-72 วันนับจากวันที่ผสมพันธุ์ครั้งแรก หรือเกินกว่า 60 วันนับจากวันแรกที่เริ่มเข้าสู่ระยะ diestrus ถ้าเข้าเกณฑ์ต่อไปนี้แสดงว่าสุนัขของเรามีปัญหาคลอดยากแล้ว จำเป็นต้องทำการช่วยคลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่สุนัขกำลังป่วยในช่วงที่ จะคลอด
การจัดการในกรณีที่มีปัญหาการคลอดยาก
1. การล้วงตัวลูกด้วยมือ ใช้ ในกรณีที่ลูกผ่านส่วนเชิงกรานของช่องคลอดมาแล้ว วิธีการเหมาะสมที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือ ใช้นิ้วดึง จะปลอดภัยกว่าการใช้อุปกรณ์ในการดึงอื่นๆ การดึงตัวลูกต้องระมัดระวัง อย่าให้เกิดอันตรายกับลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ และหลีกเลี่ยงความเสียหายในส่วนของช่องคลอดเพราะในบางรายอาจทำให้มีเลือดออก
2. การฉีดยาช่วยเร่งคลอด ใช้ ในกรณีที่มีปัญหามดลูกเฉื่อย ไม่บีบตัว ทำโดยการฉีดฮอร์โมน oxytocin เพื่อช่วยเรื่องการเบ่งคลอด ร่วมกับการให้แคลเซียมและกลูโคสเข้าเส้นเลือด (ควรทำโดยนายสัตวแพทย์) แต่การรักษาด้วยวิธีการนี้ต้องแน่ใจก่อนว่าไม่มีปัญหาเรื่องการขวางจากลูก ที่ตัวใหญ่หรือจากตัวแม่ที่มีช่องเชิงกรานแคบอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากอาจทำให้มดลูกบีบตัวจนแตก หรือลูกในท้องตาย หากทิ้งไว้นานและไม่พร้อมที่จะผ่าตัดได้ทันที ในกรณีที่สุนัขค่อนข้างตื่นกลัวหรือกระวนกระวายผิดปกติ จนไม่ยอมเบ่งคลอดควรให้สุนัขอยู่ในที่สงบเงียบและรายล้อมด้วยสภาพแวดล้อม หรือคนที่คุ้นเคย ในกรณีที่อาการยังไม่ดีขึ้นอาจให้ยาสงบประสาทในขนาดต่ำ
3. การผ่าตัด ปัจจุบัน การผ่าตัดมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เกณฑ์ในการตัดสินใจที่จะผ่าตัด ได้แก่ มีภาวะมดลูกเฉื่อยและไม่ตอบสนองกับฮอร์โมน oxytocin, มีการอุดตันในส่วนเชิงกราน, ตัวลูกมีขนาดใหญ่มากเกินไป, มีการอุดตันในส่วนของช่องคลอดและไม่สามารถใช้วิธีการดึงออกได้ และในกรณีที่ลูกตายในท้อง นอกจากนี้ในบางรายอาจมีการวางแผนว่าจะทำการผ่าตัดไว้ล่วงหน้าได้เมื่อ ประเมินไว้แล้วว่าน่าจะมีปัญหาการคลอดยากหรือการปล่อยให้คลอดตามธรรมชาติน่า จะเป็นอันตรายต่อสุนัขมากกว่า
หากแม่สุนัขไม่สามารถเบ่งคลอดลุกได้ตามปกติ เราเรียกว่าเกิดภาวะคลอดยาก โดยแบ่งสาเหตุการเกิดเป็น
ปัญหาที่ตัวแม่สุนัข
ได้แก่ ปัญหามดลูกอ่อนตัว ไม่มีแรงบีบตัว แม่สุนัขขี้กลัวหรือกระวนกระวายมากกว่าปกติทำให้ไม่ยอมเบ่งคลอด ในบางรายมีปัญหาช่องเชิงกรานแคบอาจเป็นมาแต่กำเนิดหรือเกิดจากอุบัติเหตุก็ ได้ และปัญหาช่องคลอดมีการบีบรัดตัวมากกว่าปกติ สุนัขมีปัญหาไส้เลื่อนขาหนีบและมีภาวะมดลูกบิดตัว หรือในรายที่แม่สุนัขอ้วนก็มีส่วนทำให้คลอดยาก
ปัญหาที่ตัวลูก
ได้แก่ ปัญหาลูกมีขนาดใหญ่มากเกินไป อาจเกิดเนื่องจากมีลูกเพียงตัวเดียวในมดลูกทำให้ลูกเจริญเติบโตได้ดี หรือเกิดจากการที่สุนัขพ่อพันธุ์มีขนาดใหญ่กว่าแม่สุนัขค่อนข้างมาก นอกจากนี้ในบางรายมีปัญหาคลอดยากจากการที่ลูกอยู่ในท่าที่ผิดปกติ เช่น หัวพับคว่ำลงด้านล่าง โผล่ขาออกมาข้างเดียวแล้วไหล่ติดอยู่
การเตรียมตัวรับมือภาวะคลอด โอกาสที่จะพบการคลอดยากมีดังนี้
1. ประเมินดูปัจจัยเสี่ยง สุนัข พันธุ์หน้าสั้น มักจะมีปัญหาช่องเชิงกรานเล็กหรือแคบกว่าปกติ
และลูกสุนัขพันธุ์Bulldogs, Boston Terriers, Scottish Terriers มักจะมีปัญหาหัวค่อนข้างโตและมีไหล่กว้างทำให้มีปัญหาคลอดยากได้ง่าย สุนัขพันธุ์เล็ก มักจะค่อนข้างกระสับกระส่ายและขี้กลัวทำให้ไม่ยอมเบ่งและมีปัญหามดลูกเฉื่อย ตามมา นอกจากนี้ส่วนมากสุนัขตัวเล็กมักจะมีลูกเพียงแค่ 1 ตัวทำให้ลูกมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าปกติ สุนัขพันธุ์ใหญ่ ส่วนมากมักไม่ค่อยมีปัญหาการคลอดยาก อย่างไรก็ดีสุนัขพันธุ์ใหญ่มักจะมีจำนวนลูกค่อนข้างเยอะ ทำให้มักมีปัญหามดลูกล้าจากการที่ต้องเบ่งคลอดเป็นเวลานานได้ นอกจากนี้ควรดูจากประวัติเก่า สุนัขที่เคยมีปัญหาคลอดยากในครั้งก่อน มีโอกาสที่จะคลอดยากได้สูง
2. ประเมินระยะที่เหมาะสมในการตั้งท้อง
ทำได้หลายวิธีถ้าให้ดีควรตรวจเซลล์เยื่อบุช่องคลอด ระยะเวลาการตั้งท้องจะประมาณ 56-58 วันนับจากวันที่สุนัขเข้าสู่ระยะ diestrus นอกจากนี้อาจประเมินโดยดูจากวันผสม (ประมาณวันที่63-64 นับจากวันที่ผสมครั้งแรก) สุนัขที่มีจำนวนลูกค่อนข้างเยอะมักจะคลอดเร็วกว่าสุนัขที่มีลูกไม่กี่ตัว
3. การ x ray และการทำ ultrasound ควร ทำเพื่อยืนยันว่าสุนัขท้องจริงหรือเปล่า
สุนัขที่มีภาวะท้องเทียมอาจมีอาการคุ้ยเขี่ยทำรัง หรืออาการเบ่งคลอดได้เหมือนกัน การ x ray จะช่วยระบุตำแหน่งของลูก ดูท่าของลูกในท้องว่าอยู่ผิดท่าหรือไม่ ดูขนาดของลูก ซึ่งจะช่วยประเมินว่าสุนัขมีโอกาสคลอดยากหรือไม่ นอกจากนี้ยังช่วยในการบอกภาวะลูกตายได้ในกรณีที่โครงกระดูกของลูกอยู่ผิดรูป ร่างไป หรือมีก๊าซอยู่รอบๆตัวลูก การ ultrasound จะช่วยดูว่าลูกยังมีชีวิตหรือไม่ โดยดูจากการเต้นของหัวใจลูก
เจ้าของหลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อไหร่ถึงจะถือว่าสุนัขมีปัญหาคลอดยาก
1. ในกรณีที่แม่สุนัขเบ่งคลอดติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 30-60 นาที โดยไม่มีลูกออกมา
2. หลังจากที่มีลูกออกมาแล้ว 4-6 ชั่วโมงแล้วยังไม่มีลูกออกมาเพิ่มเติมอีก
3. สุนัขไม่มีลูกออกมาเลยภายใน 24 ถึง 36 ชั่วโมง หลังจากที่อุณหภูมิเริ่มลดต่ำกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์
4. สุนัขมีอาการส่งเสียงร้อง และเลียหรือกัดบริเวณอวัยวะเพศ ระหว่างที่กำลังคลอดลูก
5. สุนัขมีการตั้งท้องนานกว่า 70-72 วันนับจากวันที่ผสมพันธุ์ครั้งแรก หรือเกินกว่า 60 วันนับจากวันแรกที่เริ่มเข้าสู่ระยะ diestrus ถ้าเข้าเกณฑ์ต่อไปนี้แสดงว่าสุนัขของเรามีปัญหาคลอดยากแล้ว จำเป็นต้องทำการช่วยคลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่สุนัขกำลังป่วยในช่วงที่ จะคลอด
การจัดการในกรณีที่มีปัญหาการคลอดยาก
1. การล้วงตัวลูกด้วยมือ ใช้ ในกรณีที่ลูกผ่านส่วนเชิงกรานของช่องคลอดมาแล้ว วิธีการเหมาะสมที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือ ใช้นิ้วดึง จะปลอดภัยกว่าการใช้อุปกรณ์ในการดึงอื่นๆ การดึงตัวลูกต้องระมัดระวัง อย่าให้เกิดอันตรายกับลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ และหลีกเลี่ยงความเสียหายในส่วนของช่องคลอดเพราะในบางรายอาจทำให้มีเลือดออก
2. การฉีดยาช่วยเร่งคลอด ใช้ ในกรณีที่มีปัญหามดลูกเฉื่อย ไม่บีบตัว ทำโดยการฉีดฮอร์โมน oxytocin เพื่อช่วยเรื่องการเบ่งคลอด ร่วมกับการให้แคลเซียมและกลูโคสเข้าเส้นเลือด (ควรทำโดยนายสัตวแพทย์) แต่การรักษาด้วยวิธีการนี้ต้องแน่ใจก่อนว่าไม่มีปัญหาเรื่องการขวางจากลูก ที่ตัวใหญ่หรือจากตัวแม่ที่มีช่องเชิงกรานแคบอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากอาจทำให้มดลูกบีบตัวจนแตก หรือลูกในท้องตาย หากทิ้งไว้นานและไม่พร้อมที่จะผ่าตัดได้ทันที ในกรณีที่สุนัขค่อนข้างตื่นกลัวหรือกระวนกระวายผิดปกติ จนไม่ยอมเบ่งคลอดควรให้สุนัขอยู่ในที่สงบเงียบและรายล้อมด้วยสภาพแวดล้อม หรือคนที่คุ้นเคย ในกรณีที่อาการยังไม่ดีขึ้นอาจให้ยาสงบประสาทในขนาดต่ำ
3. การผ่าตัด ปัจจุบัน การผ่าตัดมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เกณฑ์ในการตัดสินใจที่จะผ่าตัด ได้แก่ มีภาวะมดลูกเฉื่อยและไม่ตอบสนองกับฮอร์โมน oxytocin, มีการอุดตันในส่วนเชิงกราน, ตัวลูกมีขนาดใหญ่มากเกินไป, มีการอุดตันในส่วนของช่องคลอดและไม่สามารถใช้วิธีการดึงออกได้ และในกรณีที่ลูกตายในท้อง นอกจากนี้ในบางรายอาจมีการวางแผนว่าจะทำการผ่าตัดไว้ล่วงหน้าได้เมื่อ ประเมินไว้แล้วว่าน่าจะมีปัญหาการคลอดยากหรือการปล่อยให้คลอดตามธรรมชาติน่า จะเป็นอันตรายต่อสุนัขมากกว่า
http://www.ladysquare.com/forum_posts.asp?TID=102466&PID=3215997#3215997
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น