วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

กระต่าย





 กระต่าย จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในวงศ์ Leporidae มีลำตัวขนาดเล็ก ขนปุย หูยาว พบในหลายแห่งของโลก มีสัตว์ 7 สกุลจัดอยู่ในวงศ์ของกระต่าย ที่พบอาศัยตามป่าทั่วไปในประเทศไทยมีชนิดเดียว คือ กระต่ายป่า (Lepus peguensis) ซึ่งมีขนสีน้ำตาล ใต้หางสีขาว ขุดดินเป็นโพรงอาศัย ส่วนที่นำมาเลี้ยงตามบ้าน มีหลายชนิดและหลายสี แต่ที่พบมากจะเป็นสีอ่อนเช่นสีขาว เช่น ชนิด Oryctolagus cuniculus
ชนิดและสายพันธุ์กระต่า

 กระต่ายมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ โดยสามารถใช้ขนาดเป็นเกณฑ์ในการจำแนก ได้แก่ กระต่ายแคระ กระต่ายขนาดเล็ก กระต่ายขนาดกลาง และกระต่ายขนาดใหญ่

กระต่ายแคระ

        เช่น เนเธอร์แลนด์ดวอฟ โปลิช ดวอฟโอโท เป็นต้น

กระต่ายขนาดเล็ก

        ได้แก่ ฮอลแลนด์ลอป อเมริกันฟัซซี่ลอป มินิเร็กซ์ ดัทช์ เป็นต้น

กระต่ายขนาดกลาง

        เช่น ซาติน แคลิฟอร์เนียน นิวซีแลนด์ไวท์ เป็นต้น

กระต่ายขนาดใหญ่

        ได้แก่ เฟลมมิชไจแอนท์ เฟร้นช์ลอป อิงลิชลอป เชคเกิร์ตไจแอนท์ เป็นต้น
วิธีการเลี้ยงกระต่าย
        วิธีการเลี้ยงกระต่ายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับการเลี้ยงและพัฒนาพันธุ์กระต่าย ถ้าเราอยากให้กระต่ายของเราสมบูรณ์ แข็งแรง น่ารัก เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับธรรมชาติของกระต่ายเสียก่อน ว่าเค้าชอบอะไรไม่ชอบอะไร อะไรทานได้ อะไรทานไม่ได้ เราถึงจะได้ดูแลเค้าได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อาหารสำเร็จรูป หญ้า ผัก ผลไม้และน้ำ รวมถึงวิธีการให้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้เลี้ยงจะต้องรู้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้กระต่ายมีความสุขและมีสุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์

พันธุ์ของกระต่าย

          กระต่ายมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ โดยสามารถใช้ขนาดเป็นเกณฑ์ในการจำแนก ได้แก่ กระต่ายแคระ กระต่ายขนาดเล็ก กระต่ายขนาดกลาง และกระต่ายขนาดใหญ่
  • กระต่ายแคระ เช่น เนเธอร์แลนด์ดวอฟ โปลิช ดวอฟโอโท เป็นต้น
  • กระต่ายขนาดเล็ก ได้แก่ ฮอลแลนด์ลอป อเมริกันฟัซซี่ลอป มินิเร็กซ์ ดัทช์ เป็นต้น
  • กระต่ายขนาดกลาง เช่น ซาติน แคลิฟอร์เนียน นิวซีแลนด์ไวท์ เป็นต้น
  • กระต่ายขนาดใหญ่ ได้แก่ เฟลมมิชไจแอนท์ เฟร้นช์ลอป อิงลิชลอป เชคเกิร์ตไจแอนท์ เป็นต้น

  • การดูแลกระต่าย

            การดูแลกระต่ายไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นงานที่ต้องกระทำเป็นกิจวัตร ทุกวัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน การเลี้ยงกระต่ายนั้นสำคัญที่ ทุก ๆ สิ่งต้องสดและสะอาด เราอาจจัดแบ่งลักษณะงานที่ต้องทำให้กับกระต่ายไว้ เพื่อง่ายต่อการปฏิบัติดังนี้ ...

    ทุกวัน

    • ตรวจสอบสุขภาพกระต่ายประจำวัน สังเกตุการนั่ง เดิน ยืน ตรวจเล็บ สุขภาพขน และสุขภาพหู
    • ปล่อยกระต่ายวิ่งเล่น เราอาจกั้นพื้นที่บางส่วนไว้ให้กระต่ายได้ออกกำลังกายในช่วงที่เราทำความสะอาดกรงของกระต่ายในตอนเช้า-เย็น (แล้วแต่ความสะดวกของผู้เลี้ยง)
    • เก็บเศษผักสด ผลไม้เก่าที่กระต่ายทานไม่หมดทิ้ง เพราะเศษอาหารที่เหลือตกค้างนี้ หากกระต่ายทานเข้าไปอีกอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
    • เก็บเศษอาหารเม็ดเก่าทิ้ง เพราะอาหารเม็ดที่เหลือเหล่านี้จะเกิดการบวมชื้น กระต่ายจะไม่ทานส่วนที่เหลือ ดังนั้นในแต่ละมื้ออาหารควรกำหนดปริมาณอาหารเม็ดให้พอดีสำหรับ 1 มื้อเสมอ
    • เก็บเศษหญ้าสด/หญ้าแห้งทิ้ง เศษหญ้าเหล่าเมื่อทิ้งไว้ในกรงอาจเกิดการขึ้นราหรือปนเปื้อนกับมูลหรือฉี่กระต่าย
    • ทำความสะอาดถาดรองกรง
    • เทน้ำเก่าในขวดน้ำทิ้ง แล้วเติมน้ำสะอาดให้เต็ม
    • ให้อาหารเม็ด หญ้าสด/หญ้าแห้ง หรือผักสด/ผลไม้ โดยกะปริมาณอาหารให้กระต่ายทานหมดใน 1 มื้อ

    ทุกสัปดาห์

    • ล้างทำความสะอาดขวดน้ำ กระถางใส่อาหาร ที่แขวนหญ้า ด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อผสมเจือจาง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ต้องมั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างหลงเหลือก่อนนำกลับไปใช้เลี้ยงกระต่ายอีกครั้ง
    • ทำความสะอาดถาดรองกรง และตากแดดให้แห้งสนิท

    ทุกเดือน

    • ทำความสะอาดกรง ถาดรองกรง พื้นใต้กรง ผนังกำแพง ในบริเวณที่ใช้เลี้ยงกระต่าย ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อผสมเจือจาง แล้วล้างออกให้สะอาดก่อนนำกระต่ายกลับเข้ากรง
    • ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงกระต่ายทั้งหมด รวมทั้งของเล่นของกระต่าย
            หากเราปฏิบัติได้ในทุกๆ ข้อ จนเป็นความเคยชินแล้ว จะทำให้กระต่ายนั้นมีสุขอนามัยที่ดี ย่อมส่งผลให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของกระต่ายนั้นดีเช่นกัน กระต่ายที่มีสุขภาพสมบูรณ์ จะร่าเริงแจ่มใส สะอาดสะอ้าน น่ารักน่าอุ้ม ขนสวยนุ่ม และขี้เล่น
        ในการเลือกซื้อลูกกระต่าย จะต้องดูหลายๆอย่างค่ะ แต่ก่อนที่เพื่อนๆ จะตัดสินใจซื้อกระต่าย เพื่อนๆ ควรจะดูก่อนว่า กระต่ายนั้น เหมาะกับเราหรือไม่
    rabbit-bunnyonline-005
    1. อันแรกเลย ต้องดูโดยรวมของที่เลี้ยงก่อน ว่ากระต่ายได้รับการดูแลจากร้านดีพอไหม เช่น ที่อยู่สกปรก หมักหมม มีกลิ่นเหม็น ขนเป็นสังกะตังหรือไม่ หากสภาพแวดล้อมไม่สะอาด เราไม่ควรจะซื้อค่ะ
    2. ตรวจดูตัวกระต่าย ว่ามีบาดแผล สะเก็ด ขนร่วงหรือไม่
    3. กระต่ายโดยเฉพาะพันธุ์ขนยาว ควรจะต้องสะอาด ได้รับการแปรงขนอย่างดี ไม่มีปรสิตตามขน
    4. ตรวจดูบริเวณก้น ว่ามีท้องเสียหรือไม่
    5. ตรวจดูบริเวณหูค่ะ ควรจะมีสีชมพู สะอาด ไม่มีคราบขี้หู หรือเชื้อรา
    6. ตาจะต้องสดใส ไม่เป็นฝ้าขุ่น และขนแถวตาต้องไม่มีร่องรอยของน้ำตาเป็นคราบอยู่
    7. ตรวจจมูก จะต้องไม่มีน้ำมูก หรือมีอาการหายใจลำบาก
    8. ตรวจฟัน จะต้องไม่ยาว ต้องขบกันได้ไม่มีปัญหา ฟันยื่นฟันเอียง และต้องไม่มีน้ำลายเปียกแถวใต้คาง
    9. สังเกตการเคลื่อนไหว ต้องไม่ติดขัด ขาไม่กระเผลก และต้องไม่มีอาการขาเป๋
    10 สังเกตอาการตอบสนองของกระต่ายต่อคน หากกระต่ายที่ได้รับการเลี้ยงอย่างดี ดูแล เอาใจใส่มาอย่างดี จะไม่มีอาการหวาดกลัวคนมาก
    11. หากกระต่ายตัวไหน มีพ่อแม่ที่ฟันเอียงเก ฟันยาว หรือขาแป อย่าซื้อมาเลี้ยงเพราะอาการเหล่านั้น สามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้
    12. พยายามซื้อลูกกระต่ายที่หย่านมแล้วค่ะ ผู้ขายบางคน จะชอบเอากระต่ายที่ยังเล็ก ยังไม่หย่านมดี เอามาขาย เพื่อหลอกว่าเป็นกระต่ายแคระค่ะ ซึ่งต้องระวังด้วย ถ้าจะให้ดี เราควรจะเลือกกระต่ายที่อายุ 2 เดือนขึ้นไป

    แนวทางการให้อาหารน้องกระต่าย


    Rabbit feeding guideline (แนวทางการให้อาหารสำหรับกระต่าย)

    โดย สพ.ญ.พรพลอย ทองจุไร (หมอบอมบ์@ธัญพลอย รักษาสัตว์)


    วันนี้จะมาเสนอแนะแนวทางการให้อาหารกระต่ายค่ะ เพื่อนๆสามารถปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของวัตถุดิบและกำลังทรัพย์ที่พอหาได้นะคะ แต่ก็อย่าลืมว่า  You are what you eat เพราะฉะนั้นการให้อาหารกระต่ายอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยให้อายุของน้องต่ายแสนรักของเรายืนยาวไปด้วยค่ะ โรคภัยไข้เจ็บก็จะลดน้อยลงค่ะ

    จริงแล้วข้อมูลเรื่องโภชนาการของอาหารกระต่าย มีมากเหลือเกินค่ะ ถ้าจะพูดกันโดยรายละเอียดคงจะเยอะเกินไป อาจทำให้เจ้าของปวดหัวและมึนงงได้ เอาเป็นว่า จะสรุปหลักใหญ่ใจความสำคัญให้นำไปใช้ได้จริงนะคะ

    รูปแบบการให้อาหารก็มีหลากหลายแบบค่ะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งความสะดวกของเจ้าของเอง และความชอบของน้องกระต่ายของเราค่ะ

    การให้อาหารแบบที่ 1 


    1. ให้ hayหรือหญ้าแห้ง เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบัน มีให้เลือกหลายชนิด และหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น timothy ,ordhard ,botanical hay หรือ oat hay

    2. เสริมด้วยผักสด แนะนำให้เสริมหลังจากอายุ6เดือนขึ้นไป หรือถ้าจะให้ดี ก็1 ปีขึ้นไปค่ะ

    3. อาหารเม็ด มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้ง local made และ import ก้พิจารณากันตามกำลังทรัพย์ได้เลยค่ะ แต่แนะนำว่าควรจะดูที่มี ปริมาณไฟเบอร์สูงที่สุดเท่าที่เราจะซื้อไหวค่ะ โดยทั่วไปก็จะมี2สูตร คือสูตรกระต่ายเด็กก่อน 6 เดือน และสูตรกระต่ายโต หลัง6 เดือนค่ะ

    4. ผลไม้ หรือขนมขบเคี้ยวสำหรับกระต่าย ควรให้ในปริมาณน้อย หรือให้เพื่อเป็นรางวัลเวลาเค้าทำดีค่ะ เช่นการฝึกกระโดด ฝึกเข้ากรง

     
    *****  การให้อาหารแบบที่2  แบบนี้แนะนำค่ะ *****  เพราะโดยส่วนใหญ่หมอเองก็จะใช้วิธีนี้ค่ะ ให้ผลดีกับระบบย่อยของน้องกระต่าย และไม่ค่อยเกิดปัญหาเรื่องทางเดินอาหารตามมาค่ะ



    1. ให้ Hay เป็นหลัก 75-80% เวลาเลือกซื้อหญ้า ให้เลือกที่ต้นและใบยังเขียว ไม่เป็นเศษฝุ่นฟุ้ง และไม่เก่าจนเกินไป ไม่มีเชื้อรา อยู่ในหีบห่อที่ได้มาตรฐาน

    ในกระต่ายเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ให้เราระลึกไว้เสมอว่า ทางเดินอาหารของเค้ายังไม่มีความเป็นกรดที่แข็งแรงพอในการต่อสู้กับเชื้อโรค เนื่องจากร่างกายปรับระดับ pHให้เหมาะกับการย่อยนม โดยเฉพาะช่วง4 เดือนแรกเพราะฉะนั้นจะทำให้เกิด ท้องเสีย ท้องอืดได้ง่าย ในช่วงนี้แนะนำให้ใช้ Alfalfa เป็นหลักค่ะ เพราะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกรด ด่าง ในทางเดินอาหาร ลดความเสี่ยงในการเกิด ท้องเสียได้ และมีสารอาหารสูง แคลเซี่ยมสูง เหมาะกับวัยเจริญเติบโต

    ในกระต่ายหลัง 6 เดือน อาจจะเลือกใช้เป็น Timothy,Orchard,Botanical hay หรือ oat hay ได้ค่ะ แล้วแต่เจ้าของสะดวกและน้องกระต่ายชอบ และอาจจะเสริม ด้วยแพงโกล่า เนื่องจาก ไฟเบอร์ที่มาจากแพงโกล่า มักจะเป็นไฟเบอร์ที่ย่อยไม่ได้ (Indigestible fiber) ถ้าให้เป็นอาหารหลักที่กินประจำ จะพบว่ากระต่ายจะอึเยอะ กินเยอะ แต่จะผอม

    2. อาหารเม็ด 20% ควรเลือกที่มีไฟเบอร์สูงค่ะ แนะนำที่มากกว่า 20%  แต่ก็มักจะราคาสูงตามไปด้วย ส่วนใหญ่อาหารเกรดพรีเมี่ยมก็จะแบ่งเป็น สูตรกระต่ายเด็ก และสูตรกระต่ายโต เลือกใช้ตามความเมาะสมค่ะ

    3. ผักสด ผลไม้ หรือ treat  5% ควรเสริมเมื่ออายุ1 ปีขึ้นไปค่ะ ผลไม้ควรเป็นผลไม้ fiber สูง เช่น แอปเปิ้ล ลูกพีซ สาลี่


     


    ตัวอย่างอัลฟาฟ่าและทีโมธีนำเข้าที่มีขายตามท้องตลาด

  • การดูแลรักษากระต่ายป่วยและโรคต่างๆ
การดูแลรักษากระต่ายป่วย 
โรคภัยที่กระต่ายมักจะประสบกันมากต่าง ๆ และวิธีแก้ไขเบื้องต้น
1. โรคท้องเสีย สาเหตุของกระต่ายท้องเสียมีหลายสาเหตุ แต่ส่วนมากที่พบก็คือ จากการกิน ในบางครั้งเจ้าของกระต่าย หาอาหารหรือนำผักผลไม้ที่อวบน้ำให้กระต่ายกินเป็นจำนวนมาก ๆ เช่น แอปเปิ้ล แตงกวา บางครั้งให้กินเป็นจำนวนหลาย ๆ ลูก ซึ่งทำให้กระต่ายมีน้ำในท้องเยอะ ส่งผลให้กระต่ายท้องขึ้นและท้องเสีย และการดื่มน้ำดื่มไม่สะอาดพอ ตลอดจนสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย จากอากาศหนาวเย็นไปสู่อากาศร้อนฉับพลัน จะส่งผลให้กระต่ายถ่ายเหลว

- ลักษณะของอาการท้องเสีย กระต่ายจะนอนหมอบแบบหมดแรง และถ่ายเป็นน้ำ หรือในระยะแรกอึกระต่ายจะไม่ค่อยปั้นก้อนแข็งตัว เมื่อจับดูหรือกดก็จะพบว่า อึกระต่ายนิ่มมาก ๆ ถ้าเป็นอาการเริ่มต้นดังกล่าว ให้รีบนำผงเกลือแร่ชนิดซองที่ผสมให้คนดื่ม ผสมน้ำให้กระต่ายดื่ม เพราะกระต่ายจะเริ่มเสียน้ำมาก ๆ ทำให้กระต่ายอ่อนเพลีย และหยุดให้อาหารเม็ดทั้งสิ้น วางไว้เฉพาะหญ้าสดเท่านั้น และรีบนำส่งแพทย์โดยด่วน

- วิธีการรักษาแพทย์จะฉีดยาฆ่าเชื้อ และให้วิตามิน พร้อมกับยาฆ่าเชื้อมาให้ เจ้าของกระต่ายป้อนในปริมาณที่แพทย์กำหนด เช้า – เย็น (หรืออื่น ๆ ตามวินิจฉัยของแพทย์) 
2. โรคท้องอืด สาเหตุ เกิดจากการที่อาหารของกระต่ายกินเข้าไปแล้วกระต่ายไม่ถ่ายออกมา จนทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ และหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน จากอากาศร้อนจัด ๆ ไปอากาศหนาว จะทำให้ลักษณะของลำไส้และกระเพาะของกระต่าย หดรัดตัวไม่ย่อยอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องอืด

- ลักษณะอาการ กระต่ายที่มีอาการท้องอืด จะนอนนิ่ง ๆ ไม่ถ่าย นิ่งซึม ลักษณะคล้าย ๆ อาการของโรค Hair ball และไม่ยอมกินอะไร เมื่อจับบริเวณลำตัวจะพบว่า ท้องแข็ง และตัวพองกลม และตามลำตัวจะมีลักษณะสีเขียว ถ้าพบอาการลักษณะนี้ ให้พยายามเอาผงเกลือแร่ ผสมน้ำป้อนกระต่าย และรีบนำส่งแพทย์ด่วน

- วิธีการรักษาแพทย์จะทำการ ส่งเอ็กซ์เรย์ และฉีดยาฆ่าเชื้อ สวนทวารของกระต่าย ให้น้ำเกลือ และสังเกตการณ์หากเป็นมากก็อาจจะต้องรับตัวไว้ที่คลินิกหรือโรงพยาบาล อ่านเรื่องประกอบ จากลิงค์ อาการท้องอืดของต่อลาภ

3. โรคเชื้อรา สาเหตุเกิดจากความอับชื้น จากบริเวณที่เลี้ยง หรือ เชื้อที่ลอยมาตามอากาศ 

- ลักษณะอาการจะมีอาการขนร่วง มากผิดปกติแบบไร้สาเหตุ หรือในบางตัวจะมีความเปียกชื้นบริเวณขนของกระต่ายที่มีขนยาว และมีสีเขียวเข้ม ๆ เป็นต้น กระต่ายจะเกา และถ้าร่วงมาก ๆ จนไม่มีขนบริเวณนั้น อาจจะส่งผลให้เกิดอาการผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้ออื่นตามมาได้ ให้รีบนำส่งแพทย์

- การรักษา แพทย์จะทำการขูดบริเวณที่มีปัญหาขนร่วง หรือบริเวณที่มีสีเขียว บนขนกระต่าย ไปตรวจ หากเป็นเชื้อรา แพทย์จะให้ยากลุ่ม คีโตคูนาโซล ไม่ว่าจะเป็นแชมพู หรือ ครีม ให้ปฏิบัติตามแพทย์สั่ง เพราะอาการของเชื้อรา เป็นการรักษาที่ต้องใช้การดูแลต่อเนื่องเป็นเวลานาน ดังนั้นอาจจะต้องใช้ความอดทนเล็กน้อย
4. โรคกลาก เรื้อน สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อ และการอักเสบ หรือติดเชื้อที่ลอยมาตามกระแสลมและมาเกาะบริเวณตัวกระต่าย และหรือในบางทฤษฎี บอกว่าเกิดจากพยาธิในตัวกระต่าย ที่แย่งอาหารต่าง ๆ ไปจนทำให้กระต่ายขาดสารอาหารและเป็นแผลตกสะเก็ด (ไม่ขอยืนยัน) 

- ลักษณะอาการบริเวณใบหู จมูก หรือ เท้า จะมีลักษณะของการเป็นแผลตกสะเก็ด และกระต่ายจะเกาและคันมาก หากปล่อยไว้นาน ๆ อาการตกสะเก็ดจะลุกลามไปเรื่อย ๆ อาจจะส่งผลให้กระต่ายเสียชีวิตในเวลาต่อมา (อาการดังกล่าวคล้าย ๆ ขี้เรื้อนในสุนัข)

- การรักษา แพทย์จะทำการวินิจฉัยเชื้อ และให้ครีมมาทา เช้า – เย็น และให้ยาฆ่าเชื้อมาป้อนประกอบกันเช้าและเย็น ต้องหมั่นและขยันทาครีม ตลอดจนป้อนยาอย่างต่อเนื่อง และแผลตกสะเก็ดจะแห้ง และเมื่อแผลแห้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริเวณผิวหนังของกระต่ายบริเวณที่เป็นกลากหรือเรื้อน จะค่อย ๆ มีขนเข้าปกคลุมแต่อาจต้องใช้เวลาสักระยะ

5. Hair Ball สาเหตุเกิดจากการที่กระต่าย เลียขน (แต่งตัว) เข้าไปเป็นระยะเวลานาน ๆ แล้วไปสะสมในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดการอุดตันในระบบทางเดินอาหารไม่ว่าจะเป็นบริเวณกระเพาะอาหารหรือบริเวณลำไส้ ทำให้กระต่ายไม่ถ่ายหรือถ่ายออกมาเป็นปริมาณที่น้อยมาก ๆ Hair Ball เป็นโรคที่พบได้ในกระต่ายทุกสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นขนสั้นหรือขนยาว

- ลักษณะอาการ ที่ควรหมั่นสังเกตุ อาการเบื้องต้นของกระต่ายที่มีลักษณะของโรคแฮร์บอล ให้สังเกตุที่อึของกระต่าย หากอึมีลักษณะของเส้นขนที่ร้อยอึออกมาด้วยลักษณะคล้าย ๆ สร้อยมุก ให้สันนิษฐานว่ากระต่ายมีอาการของโรคแฮร์บอล

- วิธีการรักษาเบื้องต้น ให้หาเจล Laxatone มาป้อนให้กระต่ายกิน ส่วนที่พอเหมาะ ประมาณ 1 CC ต่อ 1 กิโลกรัม หรืออาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย ป้อนเช้าและเย็น และสังเกตอาการว่ากระต่ายถ่ายออกมาได้มากขึ้นหรือไม่ ให้ป้อนติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 – 5 วัน หรือ 1 สัปดาห์ แล้วหยุดป้อน และสังเกตอาการต่อหาก อึของกระต่ายที่มีเส้นขนร้อยออกมาหมดไป ก็ให้สบายใจได้ แต่ถ้ายังไม่หมด ถ้าต้องการความสบายใจให้รีบไปปรึกษาแพทย์ดีที่สุด
6.โรคหรือลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างสามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ เช่น ลักษณะฟันยื่น

โรคทางพันธุกรรมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถช่วยเหลือหรือรักษาได้ตามอาการของกระต่ายที่เป็น เช่นกระต่ายฟันยื่น ก็สามารถพากระต่ายไปตัดฟันออกให้ฟันสบกันพอที่จะให้กระต่าย ไว้ใช้กัดแทะหรือบดเคี้ยวอาหารได้อย่างสะดวก ส่วนปัญหาคอเอียง หรือขาแป ต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ปัญหาทางพันธุกรรมหลัก ๆ เกิดจากการนำกระต่ายที่มีสายเลือดใกล้ชิดกัน เช่น ปู่ ย่า พ่อ แม่ พี่น้อง มาผสมพันธุ์กันเอง หรือก็เป็นปัญหาจากการผสมข้ามสายพันธุ์ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาลักษณะผิดปกติดังเช่นที่ผ่านมาได้เช่นกัน


การป้องกันโรค 
ทำได้โดยพยายามลดสาเหตุของโรคให้เหลือน้อยที่สุดได้แก่ 
1 เลือกชื้อกระต่ายที่แข็งแรงและปลอดโรคมาเลี้ยง 
2 ดูแลกระต่ายให้อยู่สภาพที่สบาย สะอาด ได้รับอาหารและน้ำเพียงพอ ไม่ร้อนเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก 
3 หมั่นตรวจและสังเกตุลักษณะอาการของกระต่ายเป็นประจำ ถ้าพบกระต่ายป่วย ควรแยกไปเลี้ยงในที่เฉพาะและทำการรักษาทันที ถ้าไม่สามารถรักษาได้ควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์ ส่าหรับกระต่ายตัวอื่นที่ยังไม่ป่วยควรดูแลเป็นพิเศษและทำความสะอาดโรงเรือนให้บ่อยขี้น 
4 ไม่ควรใช้ยาเอง ถ้าไม่มีความรู้เพียงพอ ถ้าจะใช้ยาเองควรทำตามคำแนะนำของ สัตวแพทย์ และไม่ควรใช้ยาโดยไม่จำเป็นเพราะจะทำให้เชื้อโรคตื้อยาได้ 


กระต่ายพันธุ์แองโกล่าที่ขนยาวที่สุดในโลก!! >.<

         http://student.lcct.ac.th/~51138241/job/care.html
         http://student.lcct.ac.th/~51138241/job/type.html
         http://www.furerabbit.thaifasthost.com/untitled.html
         http://www.rabbit2you.com/index.php?view=article&id=10
         http://www.dek-d.com/board/view/2024976/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น