วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน

สัตว์เลี้ยง คือสัตว์ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์ ในเรื่องการให้อาหาร การคุ้มครองดูแล การผสมพันธุ์ของสัตว์ตามต้องการได้ และสร้างความผูกพันต่อกันระหว่างคนกับสัตว์ จึงเรียกว่าสัตว์เลี้ยง แต่จะไม่นับสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์ สัตว์ที่อยู่ในห้องทดลองว่าเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย เหตุเพราะไม่มีส่วนผูกพันกับชีวิตและความเป็นอยู่ของคนโดยตรง สัตว์เลี้ยงคือมิตร คือเพื่อนผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้าของ [1]
จริงๆ แล้วมนุษย์ได้เริ่มทำการเลี้ยงสัตว์เมื่อประมาณ 2 หมื่นปีมาแล้ว โดยมีการนำเอาสุนัขป่าตัวเมียมาขุน เพื่อที่จะได้นำลูกสุนัขไปรับประทานและต่อมา ก็ใช้สุนัขป่าเพื่อช่วยล่าสัตว์ เชื่อว่าแหล่งที่เริ่มเลี้ยงสุนัขอยู่ในแถบยูเรเซียและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ต่อมาเมื่อประมาณ 1 หมื่นปีมานี้ มนุษย์เริ่มเลี้ยงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น โค แพะ แกะ และสุกร เพื่อเป็นแหล่งของอาหารและเครื่องนุ่งห่ม และหลังจากนั้นจึงได้มีการเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น สัตว์ปีก และแมลงต่างๆ เวลาและสถานที่ที่เริ่มทำการเลี้ยงสัตว์สำคัญบางชนิด

10 อันดับสัตว์เลี้ยงแสนรักของคนรักสัตว์....

 อยากรู้ว่ามีสัตว์ชนิดใดบ้างที่เป็นเพื่อนรู้ใจ เพื่อนคลายเหงา รวมถึงเลี้ยงไว้ดูเพลิน ๆ ต้องตามไปดูกันครับ.. 


10."ชินชิล่า (Chinchilla) 
 
ฟังชื่อแล้ว หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่คุ้นเคย แต่ถ้าเห็นหน้าตาน่ารักปุกปุยของมัน รับรองว่าอาจต้องอยากเลี้ยงเจ้า “ชินชิล่า” ตัวน้อยเป็นแน่ 
โดย “ชินชิล่า”เป็นสัตว์จำพวกฟันแทะมีขนอ่อนนิ่ม มีนิสัยขี้เล่น อยากรู้อยากเห็นชอบกระโดด กินอาหารน้อย และเพราะชินชิล่าเป็นสัตว์ 
จากเมืองหนาวฉะนั้นใครที่คิดจะเลี้ยงมันต้องเลี้ยงไว้ในห้องแอร์ สำหรับเสน่ห์ที่ทำให้หลาย ๆ คนพากันหลงรักเจ้าชินชิล่าก็น่าจะเป็นเพราะ 
ใบหน้าอันน่ารัก (คล้ายกับกระต่ายผสมหนู) กับขนปุกปุยอ่อนนุ่มเหมาะที่จะกอดและอุ้มเป็นที่สุด
 


9."ชูการ์ ไกรเดอร์ (Suger Glider)" 
 
“ชูการ์ ไกรเดอร์” ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่เหมาะกับคุณแน่ ๆ เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในตระกูลจิงโจ้ชนิดนี้เป็นสัตว์สังคมอย่างเข้ม มันจึงต้องการ 
เพื่อนเล่นหรือพวกพ้องอยู่ด้วย (รวมถึงต้องการความเอาใจใส่จากเจ้าของ) มิฉะนั้นมันอาจจะเหงาและเครียด จนถึงขั้นป่วยและตายได้ นอกจาก 
นี้ “ชูการ์ ไกรเดอร์” ยังเป็นสัตว์ที่เอาแต่ใจตัวเอง อยากรู้อยากเห็นและต้องการอิสระในการวิ่งเล่น ฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่าใจร้อน ก็ลองหาสัตว์อื่น 
เลี้ยงจะดีกว่านะครับ.. 



8."กระรอก (Squirrel) 
 
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์ประเภทฟันแทะที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ เลยหละครับ “กระรอก” สายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงมากที่สุดคือ “กระรอกสวน” 
เนื่องจากเลี้ยงง่ายและมีนิสัยดุร้ายน้อยกว่ากระรอกสายพันธุ์อื่น ๆ สำหรับผู้ที่คิดจะเลี้ยงกระรอกต้องไม่กลัวที่จะถูกกัดหรือถูกเล็บข่วน (หากลืมตัด 
เล็บให้เค้า) ต้องไม่กลัวเลอะเพราะกระรอกชอบฉี่ยามที่มันไต่ตามตัวคุณ และที่สำคัญก็คือ ไม่กลัวบ้านพัง เพราะเจ้ากระรอกน้อยมีนิสัยชอบ 
แทะ หากคุณไม่มีเวลาดูแลมันรับรองว่า ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านต้องถูกแทะจนพังแน่ 



7."นก (Bird)" 
คนที่รู้ตัวว่าชื่นชอบการชมความงามและฟังเสียงเจื้อยแจ้วของสัตว์เลี้ยงมากกว่าที่จะไปจับจูงหรืออุ้มกอดอย่างสัตว์จำพวกสุนัขหรือกระต่าย 
คำตอบของคุณคือ “นก” โดยที่ได้รับความนิยมก็มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่เด่น ๆ ก็ได้แก่ นกหงส์หยก,นกเลิฟเบิร์ด,นกเขา,นกคีรีบูน,นกแก้ว 
นกขุนทอง,นกคอคคาเทล สำหรับนกหงส์หยกนั้นเนื่องจากเป็นนกที่ชอบแต่งตัวและรักสะอาด จึงควรมีกระจกไว้ให้นกแต่งขน และบางครั้งควร 
ที่จะใช้ฟร็อคฉีดน้ำเป็นฝอย ๆ ให้นกมาเล่นน้ำเพื่อทำความสะอาดขนด้วย 



6."กระต่าย (Rabbit)" 
 
ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสัตว์อ่อนแอและเปราะบางมาก ๆ จนอาจจะตายได้ตลอดเวลา แต่ความน่ารัก ตาวาว ขนปุกปุยของ “กระต่าย” ก็ยังทำให้ 
หลายคนเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสำหรับหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่เลิฟกระต่ายเราขอแนะนำว่าควรหาพื้นที่นอกบ้านซึ่งมีอากาศถ่ายเทและไม่ร้อนให้เค้าอยู่ 
เพราะกระต่ายได้ชื่อว่าเป็นยอดนักขุด ฉะนั้นหากเลี้ยงไว้ในบ้านต้องทำใจว่ามันจะกัดแทะสิ่งของทุกอย่างจนเสียหาย นอกจากนี้ฉี่และอุนจิของ 
กระต่ายก็มีกลิ่นแรงและอาจจะเป็นแหล่งที่เพาะเชื้อโรคเป็นอย่างดีอีกด้วย 



5."แฮมสเตอร์ (Hamster)" 
 
“แฮมสเตอร์” สัตว์จำพวกฟันแทะ (Rodent) ขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเจ้าหนูแฮมสเตอร์จะตื่นขึ้นมาวิ่งเล่นวงล้อหรือกัด 
แทะสิ่งต่าง ๆ แล้วส่งเสียงดังนอกจากนี้หากคุณไม่ได้อยู่บ้านที่อากาศเย็นสบายถ่ายเท แนะนำว่าไม่ควรเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์เพราะเค้าเป็น 
สัตว์ไม่ชอบอากาศร้อนนะครับ 




4."แกสบี้ (Guinea Pig)" 

ใครเคยรู้สึกยี้สัตว์จำพวกหนูขอบอกว่าถ้าได้เห็นความน่ารักของ “หนูแกสบี้” คุณจะต้องเปลี่ยนใจเลย โดยเจ้าแกสบี้ตัวน้อยมีชื่อภาษาอังกฤษ 
ว่า กินนี่พิก (Guinea Pig) หรือ เควี่ (Cave) เป็นสัตว์ฟันแทะที่ขี้ตื่นและตกใจได้ง่าย มีความไวต่อความเครียดสูง ฉะนั้นในการจับหรือการอุ้ม 
ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่ถ้าแกสบี้ได้รับการอุ้มและจับอย่างถูกวิธี เค้าจะมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้กับเจ้าของ สำหรับแกสบี้พันธุ์ที่ได้รับ 
ความนิยมมาก ๆ ในไทย คือ “อเมริกัน เพรูเวี่ยน” เป็นแกสบี้ขนยาวตรงทั้งตัว ปิดหน้าปิดตา น่ารักน่าเลี้ยงเลยทีเดียว 


3."ปลา (Fish)" 
 
แม้จะไม่สามารถนำมากอด และจับจูงวิ่งเล่นกับมันได้เหมือนกับเจ้าสัตว์เลี้ยงสี่ขาชนิดอื่น แต่เสน่ห์และความสวยงามเฉพาะตัวของ “ปลา” ก็ 
ดึงดูดใจให้สาว ๆ หลงรักเจ้าสัตว์น้ำได้ไม่ยาก ประมาณว่าได้ดูปลาสีสันสดใสที่แหวกว่ายไปมาเพลิน ๆ ก็หายเครียดแล้ว (อ้อ! อย่ามัวแต่ดูอย่าง 
เดียว ต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาด้วยนะ) สำหรับน้องปลาพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงไว้ในบ้านได้แก่ ปลาทอง,ปลาการ์ตูนส้มขาว (ถ้านึกไม่ออกก็เจ้านีโม่ 
ในการ์ตูนของดิสนีย์งัยครับ),ปลาหมอสี,ปลาคาร์พ,ปลาหางนกยูง ฯลฯ 


2."แมว (Cat) 
 
เรียกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงได้รับความนิยมไม่แพ้สุนัขเลยทีเดียว เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นเพราะนิสัยอ้อน ชอบคลอเคลียและช่างประจบของมัน นอก 
จากนี้ความรักอิสระของ “แมว” ยังถูกใจใครหลาย ๆ คนที่ไม่มีเวลามากนักอีกด้วย โดยน้องเหมียวยอดฮิตที่เค้านิยมเลี้ยงมีหลากหลายสาย 
พันธุ์ที่อิมพอร์ตมาจากเมืองนอกเมืองนามาก็เช่น “เปร์เซีย หรือว่าจะเป็นน้องแมวพันธุ์ไทยแท้อย่าง “แมวสีสวาด” (แมวโคราช) รวมถึงที่โด่ง 
ดังไปทั่วโลกอย่าง “วิเชียรมาศ” ซึ่งชาวต่างประเทศที่รู้จักกันในนาม “แมวสยาม” (Siamese) 

อันดับ1 สัตว์เลี้ยงแสนรักจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นั่นก็คือ 
สุนัข"Dog" นั่นเอง
 
 
ครองตำแหน่งนัมเบอร์วันได้ตลอดกาลสำหรับ “มะหมาสี่ขา” เพราะนอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าชัง แถมยังมีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือก 
เลี้ยงได้ตามใจคุณ อาทิ ถ้าชอบขนาดเล็กกะทัดรัด ขนฟู ตากลมโตแป๋วแหวว ก็ต้อง ”ปอมเมอเรเนี่ยน” แต่ถ้าโปรดปรานเจ้าตูบตัวป้อม ตากลม ๆ 
โปน ๆ ใบหน้ายับย่นยูยี่ก็ต้องเลือก “ปั๊ก” เป็นต้น ซึ่งเจ้าน้องหมานี้ยังได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์และเลิฟเจ้าของมาก ๆ ฉะนั้นเพื่อนๆคนไหน 
อยากมีองครักษ์สี่ขาผู้แสนซื่อสัตย์เป็นของตัวเองสักตัว “สุนัข” คือคำตอบ

9 ข้อดีของการมีสัตว์เลี้ยง (petnews2005)

          ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่มักนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนประจำบ้าน และจะเลี้ยงไว้อย่างน้อย 1 ชนิด และสัตว์เลี้ยงที่ ติดอันดับ 3 อันดับ ได้แก่ น้อง หมา น้องแมว และปลา นอกจากนั้น ก็ได้แก่ นก ม้า หนู กระรอก และ สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์แปลกอย่างอื่น

          คนที่เลี้ยงสัตว์ ก็มีหลายเหตุผลบ้าง ก็เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน บ้างก็เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน บ้างก็เลี้ยงไว้ประดับบารมี บ้างก็เลี้ยงไว้เอาบุญ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คำนึงถึ งประโยชน์ หรือข้อดีของสัตว์เลี้ยงเท่าใดนัก แต่ความจริงสัตว์เลี้ยงมีประโยชน์มากมายที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ดังนั้น วันนี้จะมาพูดถึงข้อดีเกี่ยวกับประโยชน์ของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะน้องหมา ตามมาดูกันเลยค่ะ

ข้อที่ 1 ผลต่อความดันโลหิตและความเครียด

          การเลี้ยงน้องหมาจะช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาความเครียดให้ เจ้าของ หรือคนเลี้ยงที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้

ข้อที่ 2 ผลต่อความรู้สึกโดดเดี่ยว

          ปัจจุบัน ผู้สูงอายุมักจะถูกปล่อยทิ้งให้อยู่บ้านตามลำพัง หรือลูกหลานอาจแยกครอบครัว ออกเรือนไป ทำให้ผู้สูงอายุถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าได สัตว์เลี้ยงก็จะช่วยแก้ปัญหาจากการอยู่เพียงลำพังได้เป็นอย่างดี ช่วยลดปัญหาด้านจิตใจห่อเหี่ยวได้

ข้อที่ 3 ผลต่อการมีสังคม

          สัตว์เลี้ยงจะช่วยให้เรามีสังคมมากขึ้นเพราะช่วยให้มีคนเข้ามาพบปะพูดคุยกับ เรามากขึ้น ในหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับสตว์เลี้ยง ซึ่งจะทำให้เรามีเพื่อนมากขึ้น โดยเฉพาะบรรดาคอคนรักสัตว์ด้วยกัน

ข้อที่ 4 ผลต่อการออกกำลังกาย

          การเลี้ยงสัตว์จำเป็นต้องมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น เช่น การจัดเตรียมอาหารให้สัตว์เลี้ยง การพาสัตว์เลี้ยงไปขับถ่าย ออกกำลัง การเล่นกับสัตว์เลี้ยง กิจกรรมเหล่านี้เองช่วยให้คนเลี้ยงได้ออกกำลังกายในทางอ้อม ทำให้ผู้สูงอายุได้ขยับเขยื้อนร่างกายบ้าง ไม่ต้องนั่งจับเจ่าอยู่เพียงอย่างเดียว

ข้อที่ 5 ผลต่อการพบแพทย์

          พบว่าผู้สูงอายุที่เลี้ยงน้องหมา น้องแมว จะมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งดูได้จากการไปพบแพทย์ลดลง และกินยาลดลงอีกด้วย

ข้อที่ 6 ผลต่อจิตใจโอบอ้อมอารี

          สัตว์เลี้ยงนั้นก่อให้เกิดความรักแท้ที่ไม่มีเงื่อนไขแก่คนเลี้ยง ทำให้คนเลี้ยงได้รับรักแท้ จากสตว์เลี้ยงเป็นประจำทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

ข้อที่ 7 ผลต่อความปลอดภัย

          เลี้ยงสัตว์เช่น น้องหมา นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว น้องหมาก็ยังทำหน้าที่อารักขาเจ้าของอีกด้วย ทำให้คนเลี้ยงรู้สึกปลอดภัยในระดับหนึ่ง

ข้อที่ 8 ผลต่อการสูญเสียคนรู้จัก

          ผู้สูงอายุนั้น มักจะต้องพบเจอกับเรื่องการจากไปของคนรู้จัก ตั้งแต่คู่สมรส ญาติผู้ใหญ่ ตลอดจนเพื่อนร่วมรุ่น ซึ่งสัตว์เลี้ยงคู่กายก็ยังอยู่เป็นเพื่อนช่วยบรรเทาความรู้สึกเศร้าใจจาก การสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักได้บ้างไม่มากก็น้อย

ข้อที่ 9 ผลต่อปัญหาส่วนตัว

          การได้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงสักตัว จะช่วยให้ผู้เลี้ยงรู้สึกมีค่า มีความหมาย โดยเฉพาะ กับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเมื่อมีปัญหาส่วนตัวจากภายนอกมากระทบ ก็จะช่วยผ่อนปรนให้เรื่องร้อน ๆ จากภายนอกค่อย ๆ บางเบาลงไป เมื่อเปรียบกับการมีจิตใจเมตตากรุณาต่อสัตว์เลี้ยงของตน

          นี่เป็นข้อดีของสัตว์เลี้ยงบางส่วนที่มีคนเลี้ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งนอกนั้นเราสามารถพบข้อดีของสัตว์เลี้ยงที่มีต่อคนเลี้ยงได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ จนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งที่เห็นแน่ ๆ ก็คือ สัตว์เลี้ยงทำให้จิตใจของมนุษย์อ่อนโยนและชุ่มชื่นขึ้นค่ะ 

http://pet.kapook.com/view14385.html
http://blog.eduzones.com/racchidlom/31458
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87#.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.A0.E0.B8.97.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.AA.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.A7.E0.B9.8C.E0.B9.80.E0.B8.A5.E0.B8.B5.E0.B9.89.E0.B8.A2.E0.B8.87

ระบบการผลิตการตลาด

ระบบการผลิต
ในปัจจุบันสหกรณ์การเกษตรดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ เพื่อลดต้นทุนจากการซื้ออาหารสัตว์จากบุคคล
อื่น 
และสูตรอาหารสัตว์เป็นไปตามความต้องการของสมาชิก การผลิตอาหารสัตว์แต่ละครั้งสหกรณ์จะใช้วัตถุดิบที่
แตกต่าง
ออกไปทั้งที่เป็นหัวและเป็นเม็ด เช่น มันเส้น ข้าวโพด เป็นต้น ดังนั้นต้องแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็นผง หรือ
มีลักษณะ
เดียวกัน เพื่อให้การผลิตหรือผสมอาหารสัตว์ได้คุณภาพยิ่งขึ้น การผลิตอาหารสัตว์สหกรณ์ใช้วิธีโม่หรือ
เครื่องย่อย
วัตถุดิบให้เป็นผงก่อนที่จะไปสู่กระบวนการผลิตอาหารสัตว์ ในการผลิตอาหารสัตว์โดยทั่วไปแล้วจำเป็น
ต้องควบคุมการ
ผลิตให้เป็นไปตามสูตรอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นอาจจะมีผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยงที่บริโภคได้ หาก
จำเป็นต้องเปลี่ยนวัตถุดิบ
บางตัวที่มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ก็ใช้วัตถุดิบที่มีคุณค่าอาหารใกล้เคียงกันมากที่สุด
ดังนั้น โดยปกติสหกรณ์จะมี
การกำหนดสูตรอาหารสัตว์ไว้ล่วงหน้า พร้อมทั้งกำหนดวัตถุดิบที่สามารถทดแทนกันได้
ในการดำเนินธุรกิจผลิตอาหาร
สัตว์สหกรณ์จะเตรียมวัตถุดิบเข้ากระบวนการผลิตอาหารสัตว์โดยจะจัดเก็บวัตถุดิบไว้
ในโกดังหรือไซโล ในการวางระบบ
บัญชีให้แก่สหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์จะต้องคำนึงถึงการควบคุม
ภายในของสหกรณ์แต่ละแห่งด้วย ซึ่งในที่นี้
ไม่ขอกล่าวถึง
ระบบบัญชีด้านการผลิตอาหารสัตว์
          สหกรณ์จะบันทึกรายการที่เกิดขึ้นในธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจะมีรายการทางการเงินที่สำคัญ ได้แก่ การ
ซื้อ
วัตถุดิบ การขายวัตถุดิบและขายอาหารสัตว์สำเร็จรูป โดยจะบันทึกรายการในสมุดบันทึกรายการขั้นต้น คือ สมุด
ซื้อ
สินค้า และสมุดขายสินค้า แล้วผ่านรายการบัญชีจากสมุดบันทึกรายการขั้นต้นไปยังสมุดบันทึกรายการขั้นปลาย ได้แก่ สมุดบัญชีแยกประเภททั่วไป และบัญชีย่อย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่บัญชีผลิตอาหารสัตว์มิได้เป็นผู้บันทึกรายการ
ดังกล่าว แต่
ฝ่ายบัญชี (สมุห์บัญชี) ของสหกรณ์จะเป็นผู้รับผิดชอบในการบันทึกรายการ ส่วนทะเบียนคุมสินค้า
(บัญชีสินค้าและ
วัตถุดิบ) เจ้าหน้าที่บัญชีฝ่ายผลิตอาหารสัตว์เป็นผู้บันทึกรายการ
รายงานทางบัญชี
          รายงานทางการเงินจัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นและเป็นประโยชน์แก่คณะกรรมการ ผู้จัดการในการที่จะ
นำไป
วางแผน ประสานงาน และควบคุมการดำเนินงานของสหกรณ์ให้เป็นไปด้วยความเหมาะสมและรัดกุม ซึ่ง
ประกอบด้วย
รายงานต่าง ๆ ดังนี้
1. รายงานการผลิตอาหารสัตว์ เพื่อให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตอาหารสัตว์ว่าเป็นชนิดใด
    และมี
ปริมาณเท่าใด ตลอดจนรายละเอียดการใช้วัตถุดิบและต้นทุนการผลิต
2. รายงานการเดินเครื่องอัดเม็ด (กรณีสหกรณ์ใช้เครื่องจักรในการผลิตอาหารสัตว์ ) เพื่อให้ทราบถึง
    กำลัง
การผลิตของเครื่องจักรต่อชั่วโมง จำนวนผลผลิตที่ได้ เวลาที่ใช้ในการผลิต สามารถนำไปใช้
    ประโยชน์ในการหา
ต้นทุนการผลิต
3. รายงานแผนกอาหารสัตว์ เพื่อให้ทราบถึงจำนวนอาหารที่ผลิตได้แต่ละสูตรในแต่ละวัน จำนวน
    อาหารสัตว์
ที่ขายและจำนวนอาหารสัตว์คงเหลือทั้งสิ้นถูกเก็บไว้ในคลังสินค้าที่เท่าใด
4. รายงานสินค้า - วัตถุดิบคงเหลือ เพื่อให้ทราบถึงสินค้า – วัตถุดิบคงเหลือ ณ วันสิ้นเดือน
          วิธีปฏิบัติทางบัญชีเกี่ยวกับการดำเนินงานในธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ สำหรับวิธีปฏิบัติทางบัญชีเกี่ยวกับ
การดำเนิน
งานในธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ มีดังนี้
การซื้อวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์
เดบิต ซื้อสินค้าxxx
เครดิต
เงินสด/เงินฝากธนาคารxxx หรือ
เจ้าหนี้การค้า (กรณีซื้อเชื่อ)xxx
ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้การค้า
เดบิต เจ้าหนี้การค้า
xxx
เครดิต
เงินสด/เงินฝากธนาคารxxx หรือ  
การขายอาหารสัตว์
เดบิต เงินสด/ลูกหนี้การค้า
xxx
เครดิต
ขายอาหารสัตว์xxx
ได้รับชำระหนี้
เดบิต เงินสด
xxx
เครดิต
ลูกหนี้การค้าxxx
         
          อนึ่ง หลังจากบันทึกรายการในสมุดขั้นต้นแล้วให้ผ่านรายการไปสมุดบัญชีแยกประเภท และทะเบียนคุม
สินค้า
และบัญชีย่อยที่เกี่ยวข้อง สำหรับการจัดทำงบการเงินสหกรณ์จะต้องจัดทำงบการเงินที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์กำหนด
การคำนวณต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์
           เมื่อสิ้นสุดการผลิตอาหารสัตว์ สหกรณ์จะใช้ตารางการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ ไปคำนวณหาต้นทุนการผลิต
อาหารสัตว์ ซึ่งมีวิธีการคำนวณต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ ดังนี้
ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ คือ ต้นทุนของโรงงานหรือของการผลิตอาหารสัตว์ทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องโดยทางตรง
และ
ทางอ้อมกับการผลิตอาหารสัตว์ การคำนวณต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ แบ่งออกเป็น
          1 . ต้นทุนการผลิตระหว่างงวด
          การคำนวณต้นทุนตามวิธีนี้จะอาศัยข้อมูลทางบัญชีที่สหกรณ์บันทึกบัญชีไว้ในระหว่างงวด หรือเดือนที่
ต้องการ
ทราบว่าสหกรณ์ใช้วัตถุดิบ ค่าแรงงาน และค่าโสหุ้ยการผลิตเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งคำนวณต้นทุนแต่ละ
ประเภท
ได้ดังนี้
          วัตถุดิบทางตรง วัตถุดิบทางตรงที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ เช่น มันเส้น ข้าวโพด มะพร้าว กากปาล์ม รำหยาบ กากน้ำตาล แร่ธาตุ เป็นต้น คำนวณการใช้วัตถุดิบจากใบสั่งจ่ายวัสดุ แผนกอาหารสัตว์ หรือจากตาราง
แสดงการใช้วัตถุ
ดิบผลิตอาหารสัตว์ ในช่วงระยะเวลาที่คำนวณหาต้นทุนการผลิตงวดนั้น ๆ
          ค่าแรงงานทางตรง ได้แก่เงินเดือนและค่าจ้างของเจ้าหน้าที่แผนกผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งใช้ข้อมูลทาง
บัญชีที่
สหกรณ์บันทึกไว้ โดยนำมาจากสมุดบัญชีแยกประเภททั่วไปในบัญชีเงินเดือนค่าแรงของฝ่ายผลิตอาหาร
สัตว์ที่เกิดขึ้น
ในระหว่างงวดที่คำนวณหาต้นทุนการผลิต
          ค่าโสหุ้ยการผลิต (ค่าใช้จ่ายในการผลิต) ต้นทุนในการผลิตอาหารสัตว์ทั้งหมดที่นอกเหนือจาก
วัตถุดิบทาง
ตรงและแรงงานทางตรง ซึ่งได้แก่ ของใช้สิ้นเปลือง วัตถุดิบทางอ้อม แรงงานทางอ้อม ค่าซ่อมแซม
และดูแลรักษา
ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์ ค่าเสื่อมราคาโรงงาน ค่าเบี้ยประกันภัย
โรงงานผลิตอาหารสัตว์ 
เป็นต้น ค่าโสหุ้ยการผลิตคำนวณจากบัญชีต่าง ๆ ที่จัดเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตอาหารสัตว์
ซึ่งบันทึกไว้ในสมุดบัญชี
แยกประเภททั่วไป ในช่วงระยะเวลาที่คำนวณต้นทุนการผลิตนั้น
          เมื่อคำนวณส่วนประกอบของต้นทุนการผลิตครบทั้ง 3 ส่วนแล้ว นำมาคำนวณต้นทุนการผลิต
สำหรับงวดได้ดังนี้
วัตถุดิบทางตรง                    
แรงงานทางตรง                   
ค่าโสหุ้ยการผลิต                 
รวมต้นทุนผลิตระหว่างงวด
xxx
xxx
xxx
xxx
          จากนั้นสามารถคำนวณต้นทุนการผลิตระหว่างงวดต่อหน่วยได้โดย นำต้นทุนการผลิตระหว่างงวดหารด้วย
จำนวนหน่วยของอาหารสัตว์ที่ผลิตเสร็จในงวดนั้น ดังนี้
                ต้นทุนการผลิตระหว่างงวดต่อหน่วย =                   ต้นทุนการผลิตระหว่างงวด               
                                                                    จำนวนหน่วยของอาหารสัตว์ที่ผลิตเสร็จในงวดนั้น
        2 . ต้นทุนการผลิตวันสิ้นปีบัญชี
           การคำนวณต้นทุนการผลิต ณ วันสิ้นปีนั้น จะต้องทำการตรวจนับวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์คงเหลือ และ
อาหาร
สัตว์สำเร็จรูป เพื่อใช้ประกอบการคำนวณต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ และต้นทุนขายสินค้าที่เกิดขึ้นในแต่
ละปี
           วิธีการคำนวณต้นทุนการผลิตวันสิ้นปีบัญชี คำนวณจากส่วนประกอบทั้ง 3 ส่วน ของต้นทุนการผลิต
เช่นเดียว
กับการคำนวณต้นทุนการผลิตระหว่างงวด จะแตกต่างกันในส่วนของการตรวจนับวัตถุดิบและอาหารสัตว์
สำเร็จรูปคง
เหลือ และวิธีคำนวณต้นทุนการผลิตซึ่งคำนวณต้นทุนแต่ละประเภทได้ดังนี้
           วัตถุดิบทางตรง วัตถุดิบทางตรงที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ คำนวณจากยอดวัตถุดิบอาหารสัตว์คงเหลือ
ตาม
ที่ตรวจนับได้ พร้อมกับตีราคาวัตถุดิบคงเหลือตามหลักเกณฑ์การตีราคาสินค้าคงเหลือที่กำหนดไว้ในระเบียบ
นาย
ทะเบียนสหกรณ์ ว่าด้วยการบัญชีของสหกรณ์ พ.ศ. 2542 ซึ่งคำนวณได้ดังนี้
วัตถุดิบคงเหลือต้นปี
บวก ซื้อวัตถุดิบ  
       ค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบ  
รวมวัตถุดิบที่มีไว้เพื่อผลิต       
หัก วัตถุดิบคงเหลือสิ้นปี (ที่ตรวจนับได้)
ต้นทุนวัตถุดิบใช้ไป         
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
แรงงานทางตรง ใช้เงินเดือนและค่าแรงงานของฝ่ายผลิตอาหารสัตว์ ตามที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชีแยกประเภท
ทั่วไป
ค่าโสหุ้ยการผลิต (ค่าใช้จ่ายในการผลิต) ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จัดเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตอาหารสัตว์ ได้แก่
ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง, น้ำมันเตา ค่าของใช้สิ้นเปลือง ค่าเบี้ยประกันภัย
ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย ค่าใช้จ่ายกระสอบ ดอกเบี้ยจ่ายเงินกู้ ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์ ค่าเสื่อมราคาโรงงาน
        
วิธีการคำนวณต้นทุนการผลิตที่เกิดจากต้นทุนทั้ง 3 ประเภท เป็นดังนี้
บวก   ซื้อวัตถุดิบ         
         ค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบ                  
                วัตถุดิบทั้งสิ้นที่มีไว้เพื่อผลิต
หัก     วัตถุดิบคงเหลือสิ้นปี 
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
เงินเดือนและค่าจ้าง
ค่าโสหุ้ยการผลิต :
ค่าไฟฟ้า 
ค่าน้ำประปา 
ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร  
ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง, น้ำมันเตา 
ค่าของใช้สิ้นเปลือง 
ค่าเบี้ยประกันภัย
ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย  
ดอกเบี้ยจ่ายเงินกู้     
ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรและอุปกรณ์
ค่าเสื่อมราคาโรงงาน  
ต้นทุนการผลิต  
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx
xxx 
xxx
วิธีการคำนวณต้นทุนการผลิตต่อหน่วยนั้น ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการคำนวณต้นทุน การผลิตระหว่างงวดต่อหน่วย คือ
ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย =                ต้นทุนการผลิตทั้งสิ้น          
                                       จำนวนหน่วยของอาหารสัตว์ที่ผลิตได้
           อนึ่ง การคำนวณต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ต่อหน่วยนั้น คิดรวมถึงอาหารสัตว์ที่สูญเสียในระหว่างการผลิต
ว้ด้วย สหกรณ์จะต้องคำนวณต้นทุนการผลิตที่สูญเสียโดยนำต้นทุนการผลิตต่อหน่วยคูณกับจำนวนที่สูญเสีย เพื่อ
นำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการให้ถือเป็นสินค้าเสื่อมชำรุด นอกจากนี้สหกรณ์ควรทดสอบหา
อัตราการสูญเสียไว้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการบริหารงานของสหกรณ์ต่อไป

การตลาด

กลยุทธ์ธุรกิจบริการสัตว์เลี้ยงแสนรัก

18พ.ย.

 ทุกวันนี้ไลฟ์สไตล์ของชีวิตผู้คนเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ สภาพครอบครัวในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น บางคนพอมีกำลังฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะแยกบ้านออกมาอยู่เองเป็นส่วนตัว หรือไม่ก็ซื้อที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง เพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางไปทำงาน
บางคนอยู่คนเดียวมันก็เหงานะคะ ก็ต้องมีเพื่อนตัวน้อย อย่างน้องหมา น้องแมว เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนหย่อนใจ คลายเหงา เฝ้าบ้าน จากความน่ารัก น่าเอ็นดู ขี้อ้อน ขี้เล่น ของน้องหมา น้องแมว ก็ผูกมัดใจคนเลี้ยง ให้รักเอ็นดู เอาใจใส่ เสมือนหนึ่งว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวกันเลยทีเดียว นี่ก็คงจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ธุรกิจบริการสัตว์เลี้ยง” มีแนวโน้มว่าจะโตขึ้นเรื่อยๆ นะคะอาจารย์
ตอบ ครับคุณปุ๊ก จะเห็นได้ว่า ตอนนี้มีธุรกิจและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงผุดขึ้นมามากมาย ตั้งแต่ที่เพาะพันธุ์สัตว์ โรงพยาบาล อาหาร รับตัดแต่งขน ของใช้กระจุกกระจิกของสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงบริการที่ผสมผสานสิ่งที่มีอยู่เดิมให้แปลกใหม่ยิ่งขึ้น เช่น เสื้อผ้าสุนัขและแมวดีไซน์เก๋ ร้านกาแฟที่พาสัตว์เลี้ยงไปชิลด้วยได้ บริการเพ็ทแคร์และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงครบวงจร
ไม่เท่านั้นนะครับ ธุรกิจบริการสัตว์เลี้ยง ยังมีการบริการไว้สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไร้ลมหายใจแล้วด้วยนะครับ ลองนึกดูนะครับคุณปุ๊ก สมมุติว่าผมมีสัตว์เลี้ยงแสนรัก เวลาที่เขาตายไป ถ้าบ้านผมมีพื้นที่ที่เป็นพื้นดิน เป็นสวนข้างบ้านผมก็คงจะขุดหลุมฝังเขาไว้ในบ้าน มีป้ายชื่อของเขาทำเป็นแผ่นคอนกรีต หรือหินอ่อนวางไว้บนหลุม เวลาคิดถึงเขาก็มานั่งคุยกับเขาได้เรื่อยๆ
แต่ถ้าผมพักอาศัยอยู่ในบริเวณที่ไม่มีพื้นดินล่ะครับ เช่น ผมอยู่คอนโดมิเนียม อยู่ตึกแถว ทาวน์เฮาส์ในเมือง ผมจะเอาศพน้องหมาสุดที่รักของผมไปฝังที่ไหน  ผมอาจจะอยากทำพิธีสวดศพให้กับเขา มีพิธีเผาศพให้เขา มีการเอาเถ้ากระดูกของเขาไปลอยในแม่น้ำ แล้วก็เก็บเอากระดูกสำคัญของเขาไว้ทำพิธีบังสกุลทุกปี อยากทำพิธีแบบนี้ที่วัด หลายวัดก็อาจจะปฏิเสธ เป็นเรื่องใหญ่นะครับ สำหรับชีวิตของคนเมือง ที่รักสัตว์เลี้ยงของตนเองเสมือนเป็นสมาชิกครอบครัว
ถาม อาจารย์คะ ปุ๊กเคยได้ยินว่า มีผู้ให้บริการฌาปนกิจสัตว์เลี้ยง ภายใต้การดูแลของผู้ประกอบการธุรกิจเอกชนร่วมกับวัด อย่างเช่น วัดธาตุทอง แล้วก็ยังมีบริการ รับ-ส่ง ร่างสัตว์เลี้ยงมายังวัด รวมทั้งพิธีกรรมทางศาสนา นับแต่การสวด การเผา เก็บกระดูก ลอยอังคาร จำหน่ายโลง และกล่องเก็บกระดูก ก็ถือว่าวันนี้ ธุรกิจบริการสัตว์เลี้ยงแสนรัก มีครบวงจรตั้งแต่เกิด จนถึงวันที่เขาจากเราไปเลยนะคะอาจารย์
ตอบ นั่นล่ะครับ คุณปุ๊ก อย่างที่ผมพูดอยู่เรื่อยๆ ว่า โอกาสทางธุรกิจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ขอเพียงให้เข้าใจว่า ปัญหาและความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคืออะไร ตลาดอาจจะไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ก็เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม ของคนที่มีกำลังซื้อ และพร้อมที่จะใช้จ่ายเงิน เพื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองนะครับ
คุณปุ๊กครับ มูลค่าตลาดต่อปีของธุรกิจบริการสัตว์เลี้ยงมากกว่า 20,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตทุกปี ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20-25 นะครับ แบ่งออกเป็นมูลค่าตลาดประเภทสินค้า ประมาณ 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย อาหาร ขนม ประมาณ 7,000 ล้านบาท และเป็นมูลค่าตลาดของเสื้อผ้า และของเล่น ประมาณ 3,000 ล้านบาท และมูลค่าตลาดประเภทบริการ มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยธุรกิจประเภทบริการประกอบด้วย โรงพยาบาล/คลินิก สปา อาบน้ำตัดขน โรงเรียนฝึก โรงแรม บริการฌาปนกิจ และบริการอื่นๆ
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจบริการสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้น ก็คือ พฤติกรรมของคนเลี้ยงเปลี่ยนไป มีการใส่ใจเรื่องสุขอนามัยและจิตใจของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ประกอบกับ คนเราก็ต้องการเพื่อนที่จริงใจ และรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนแท้มากขึ้น ก็ให้ความสำคัญต่อการหาน้องหมา น้องแมวมาเลี้ยงเป็นเพื่อนนะครับ
ถาม อาจารย์คะ ไม่เคยคิดว่ามูลค่าตลาดบริการสัตว์เลี้ยงจะใหญ่โต ถึงปีละมากกว่า 20,000 ล้านบาทเลย นะคะ แบบนี้แสดงให้เห็นว่า คนที่รักน้องหมา น้องแมว ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองมากเลย ใช่มั๊ยคะ
ตอบ ผมว่ากลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ จะให้ความสำคัญต่อสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองกันเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนนะครับ มีงานวิจัยของนักศึกษาปริญญาโทภาคพิเศษ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวข้อ “4 ขา Marketing เปิดขุมทรัพย์หมื่นล้าน ตลาดโฮ่งเหมียว” มีผลการวิจัยที่น่าสนใจ ที่ขอนำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ
ผลการวิจัยพบว่า ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ใช้จ่ายเงินให้กับสัตว์เลี้ยง มากกว่า 1,000 บาท/ตัว/เดือน ซึ่งคิดเป็น 5-10 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ โดยเรียงลำดับค่าใช้จ่ายสูงสุด ดังนี้ 1. อาหาร 2. ค่ารักษาพยาบาล 3. ค่าอาหารเสริมและวิตามิน 4. ค่าเสื้อผ้า/อุปกรณ์ตกแต่ง 5. ค่าบริการอาบน้ำ-ตัดขน 6. บริการอื่นๆ เช่น โรงแรม สปา
ลงลึกไปในรายละเอียดของงานวิจัย เรื่องค่าใช้จ่าย ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ระบุ ยอมจ่ายค่าเสื้อผ้าเครื่องประดับ เป็นลำดับ 4 นั้น เนื่องจาก อยากให้สัตว์เลี้ยงของพวกเขาดูดีมีระดับ ส่วนแหล่งหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้กับสัตว์เลี้ยงนั้น มักเป็น Pet Shop หรือไม่ก็ห้างค้าปลีก
จากข้อมูลในประเด็นนี้อาจเป็นการชี้ให้เห็นโอกาสในทางธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบัน จำนวนร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ที่สามารถสร้างชื่อให้แบรนด์ตัวเองแข็งแกร่งนั้น ยังมีไม่มากนัก
คณะผู้วิจัยวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า ความต้องการซื้อสินค้าเสื้อผ้า/เครื่องประดับ ของคนมีสัตว์เลี้ยง อาจเป็นโอกาสดีของผู้ทำธุรกิจด้านนี้ เพราะคนไทยมีฝีมือและเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ ที่ผ่านมา มีการผลิตสินค้าเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยง มียอดส่งออกสูง แต่สิ่งที่ต้องคิดเป็นการบ้านต่อ คือ ทำอย่างไรให้สินค้ามีความแตกต่างและโดดเด่นกว่าที่มีอยู่ในท้องตลาด
ในงานวิจัยยังพบข้อมูลอีกว่า ผู้บริโภคที่มีความชื่นชอบการเลี้ยงสัตว์ ยังมีพฤติกรรมที่มีความต้องการในส่วนของการบริการเฉพาะทาง เช่น โรงแรม-ที่พัก อนุญาตให้พาสัตว์เลี้ยงเข้าพักได้ คุณปุ๊กลองนึกดูนะครับว่า เวลาที่เราไปเที่ยวต่างจังหวัด เราก็อยากพาน้องหมา น้องแมวของเราไปเที่ยวด้วย จะปล่อยเขาไว้บ้าน หรือ ไปฝากเลี้ยงก็คงจะคิดถึงเขาน่าดู ถ้าโรงแรมที่พัก มีบริการจัดสถานที่รับเลี้ยงน้องหมา น้องแมว แล้วก็บริการอาบน้ำตัดขนให้ด้วย ผมว่า ก็เป็นการเพิ่มคุณค่าในการบริการและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าที่เข้ามาพักนะครับ เพียงแต่ต้องบริหารจัดการพื้นที่เฉพาะส่วนให้ดี เพราะลูกค้าหลายท่านอาจไม่ชอบที่จะเห็นมีน้องหมา หรือน้องแมวมาเดินเพ่นพ่าน ส่งเสียงดังรำคาญ ในช่วงเวลาที่ต้องการพักผ่อนนะครับ
สิ่งที่เราพบเห็นได้ในทุกวันนี้ก็คือ พฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคมีแนวโน้มชอบความสะดวกสบายทั้งต่อตัวเองและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น การอำนวยความสะดวกให้ผู้เลี้ยงได้มีกิจกรรมร่วมกันกับสัตว์เลี้ยง รวมถึงกระแสความนิยมตามๆ กันในกลุ่มผู้เลี้ยง สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นลู่ทางให้ผู้ประกอบการสามารถสรรหาสินค้าและบริการในด้านต่างๆ เพื่อตอบโจทย์และสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้นนะครับ
ถาม อาจารย์มีข้อแนะนำในเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจบริการสัตว์เลี้ยงแสนรักอย่างไรบ้างคะ
ตอบ เนื่องจากเป็นธุรกิจบริการ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ความสะดวกสบายของลูกค้า รวมถึงความปลอดภัยสัตว์เลี้ยงแสนรักด้วยนะครับ ผมขอแนะนำให้ลองใช้กลยุทธ์ DOG CAT ดูนะครับ
DOG CAT มาจากคำต้นของคำว่า
  1. DELIVERY ท่านต้องลองพิจารณาการบริการนอกสถานที่ดูนะด้วยนะครับ ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ให้บริการสัตว์เลี้ยงแสนรักในรูปแบบใด ผมว่าวันนี้ การบริการนอกสถานที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจแล้วล่ะครับ เป็นคลีนิคสัตว์แพทย์ ก็ต้องบริการตรวจรักษานอกสถานที่ได้ บริการอาบน้ำ-ตัดขน นอกสถานที่ บริการส่งอาหารน้องหมาน้องแมวถึงบ้าน บริการพาน้องหมา น้องแมวไปเดินเล่นนอกบ้าน บริการรับศพ เคลื่อนย้ายศพน้องหมาน้องแมวไปทำพิธีศพ
  2.  ONLINE ใช้ช่องทางการติดต่อสื่อสารออนไลน์ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่เพียงเฉพาะแค่เป็นช่องทางการติดต่อสั่งซื้อสินค้าเท่านั้นนะครับ เรายังสามารถใช้เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกลุ่มผู้เลี้ยงที่เป็นลูกค้าของเรา และที่สำคัญถ้าผมเป็นสถานรับฝากเลี้ยงน้องหมา น้องแมว ผมต้องใช้ช่องทาง ONLINE ในการให้เจ้าของน้องหมา น้องแมว สามารถติดต่อถึงกันได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงนะครับ เช่น ผมมีกล้องวงจรปิด ผมมีระบบ VEDIO CHAT ที่สามารถให้น้องหมา น้องแมว เห็นหน้าเจ้าของ และพูดคุยกันได้ด้วยนะครับ
  3. GROUP จัดให้มีกิจกรรมสัมพันธ์ของกลุ่มลูกค้า และน้องหมา น้องแมว นะครับ แต่ก่อนอื่นท่านต้องทำให้แน่ใจก่อนนะครับว่า ท่านเป็นผู้ให้บริการที่ดี มีคุณภาพ และสามารถทำให้ลูกค้าประทับใจได้แล้วนะครับ จึงค่อยดำเนินกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ท่านอาจจะจัดวัน รักน้องหมาน้องแมวขึ้นมาสัก ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อขอบคุณลูกค้า ที่ได้มาใช้บริการกับท่าน ที่สำคัญเป็นการสร้างกลุ่มของลูกค้าที่จะมีความจงรักภักดีกับธุรกิจของท่านมากขึ้นนะครับ
  4. CARE ท่านต้องใส่ใจในการดูแล น้องหมา น้องแมว ให้ได้รับความสะดวกสบาย และปลอดภัย อย่างดีที่สุดนะครับ ท่านต้องสนใจจดจำรายละเอียด มีความเข้าใจในจิตใจสัตว์เลี้ยง และผู้เป็นเจ้าของเป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงในด้านของความรู้สึกเป็นสำคัญ นอกจากตัวผู้ประกอบการเองแล้วตัวพนักงานก็ต้องมีความเอาใจใส่ไม่แพ้กัน ซึ่งหากผู้ประกอบการมีการคัดเลือกบุคลากรที่ดี เลือกคนที่เลี้ยงสัตว์ รักสัตว์เข้ามาทำงาน และมีการฝึกอบรมพนักงานที่ดีและเป็นระบบก็จะทำให้กิจการหรือธุรกิจที่ทำมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เกี่ยวกับการบริการด้วยแล้ว พนักงานถือเป็นหัวใจสำคัญในธุรกิจเลยทีเดียว
  5. ADAPT ท่านต้องมีความยืดหยุ่นในการให้บริการ การมีกฎเกณฑ์ เงื่อนไขในการให้บริการที่มากเกินไป ก็จะทำให้ลูกค้ารู้สึกอึดอัดใจ และไม่กลับมาใช้บริการกับท่านอีก เจ้าของน้องหมา น้องแมว ทุกคนล้วนต้องการให้น้องหมา น้องแมวได้รับการบริการที่ดีที่สุด บนเงื่อนไขที่ต้องจ่ายแล้วคุ้มที่สุด ถ้าท่านที่เป็นผู้ประกอบการ ไม่ได้ให้อำนาจในการตัดสินใจ หรือการผ่อนปรนบางอย่างให้กับพนักงานของท่าน จะตัดสินใจอะไรต้องรอถามท่านผู้ประกอบการก่อน แบบนี้ก็มีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะไม่กลับมาใช้บริการซ้ำนะครับ
  6. TRUST ท่านต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ด้วยความมุ่งมั่นในการที่จะรักษาและพัฒนามาตรฐานคุณภาพในการบริการให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ท่านต้องมีความสม่ำเสมอในการให้บริการที่ดี ระมัดระวังอย่าทำให้ลูกค้าเสียความรู้สึก นะครับ

http://phongzahrun.wordpress.com/2013/11/18/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2/
 http://www.cad.go.th/ewtadmin/ewt/cadweb_org/ewt_news.php?nid=10155

ยาสัตว์


“ยาสัตว์” หมายถึงยาที่ได้รับ อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในสัตว์ และ “ยาคน” หมายถึงยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในคน ขั้นตอนและกระบวนการในการขออนุญาตขึ้นทะเบียนยาเพื่อใช้ในสัตว์คล้ายคลึงกับการขออนุญาตขึ้นทะเบียนยาคน ความแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่จำนวนประชากรในการทดลองใช้ยาในทางคลินิก (clinical trials) ของยาสัตว์อาจน้อยกว่า คือ อยู่ในระดับหลักร้อยเทียบกับระดับหลักพันในคน แต่สำหรับมาตรฐานการผลิตนั้นใช้มาตรฐานเดียวกัน โดยต้องเป็นไปตามข้อกำหนด ที่เรียกว่า good manufacturing practices (GMP)

การให้ยาสตว์
สำหรับการศึกษาฤทธิ์ และพิษของยาที่ต้องการนำมาใช้ในคนนั้นต้องมีข้อมูลการศึกษาหรือผลการทดลองในสัตว์นำมาก่อนจะมีการทดลองทางคลินิกใน คนเพื่อประกอบการขอขึ้นทะเบียน แต่บริษัทผู้ผลิตไม่มีสิทธิที่จะโฆษณา หรือ ประกาศว่า ยาชนิดนั้นใช้ได้ในสัตว์ จนกว่าจะมีการขอขึ้นทะเบียนเพื่อใช้เฉพาะในสัตว์ โดยต้องระบุชนิดของสัตว์รวมทั้งขนาด และสรรพคุณอื่น ๆ ที่ เฉพาะเจาะจงเป็นราย ๆ ไป อย่างไรก็ตาม สัตวแพทย์อาจสั่งใช้ยาคนเพื่อรักษาสัตว์ที่ตนดูแลได้ตามความจำเป็น และเห็นสมควร โดยทั่วไปสัตวแพทย์จะเลือกใช้ยาสัตว์ก่อน หากไม่ได้ผล หรือไม่อาจหายาสัตว์ได้จึงจะคิดถึงการนำยาคนมาใช้แทน

จำนวนชนิดของยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในสัตว์จะมีน้อย กว่ายาคน และหากมีก็จะผลิตในจำนวนที่น้อยกว่าเพราะตลาดยาสัตว์มีปริมาณ น้อยกว่า ทำให้ราคายาสัตว์โดยทั่วไปจะสูงกว่ายาคน การนำยาคนมาใช้ในสัตว์จึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะนำยาคนทุกตัวมาใช้กับสัตว์ได้โดยไม่แยกแยะ เพราะแม้ว่ายาทุกตัวจะมีฤทธิ์ต่อคน และสัตว์เหมือนกัน แต่การตอบสนองของร่างกายคน และสัตว์อาจแตกต่างกัน ยาบางชนิดมีพิษน้อยในคนแต่มีพิษสูงต่อสัตว์ เจ้าของจึงไม่ควรนำยาคนมาใช้ในสัตว์ โดยไม่ขอความเห็นจากสัตวแพทย์ก่อน

บางท่านอาจสงสัยว่า แล้วจะคิดขนาดของยาคนที่นำมาใช้ในสัตว์อย่างไร คำตอบคือ จะมีการศึกษาทดลองโดยสัตวแพทย์ที่เป็นนักวิชาการ และนักวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผล และขนาดของยาคนในสัตว์ มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสารทางวิชาการของวิชาชีพจนได้ข้อมูลระดับหนึ่งที่สามารถอ้างอิงได้ และจะมีการรวบรวมสรรพคุณของยาสัตว์ และยาคนที่ใช้ในสัตว์ไว้ในหนังสือคู่มือยาสัตว์เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ใช้ในทางคลินิกต่อไป

การนำยาคนมารักษาสัตว์เป็นการสั่งจ่ายยาที่ “นอกเหนือคำแนะนำ” การใช้ยานอกเหนือคำแนะนำ อาจหมายรวมถึงการนำยาสัตว์มาใช้กับสัตว์ต่างชนิดจากที่ขอขึ้นทะเบียนยาไว้ หรือนำยาไปใช้ในภาวะหรือขนาดที่ต่างจากที่ระบุไว้ในการขอขึ้นทะเบียน ตัวอย่างของการใช้ยานอกเหนือคำแนะนำ ได้แก่ สัตวแพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดแก้ไข้ลดการอักเสบที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนใช้ในสุนัขไปปรับใช้ในแมวโดยใช้ขนาดที่ตํ่ากว่า หรือจ่ายยาขยายหลอดเลือดที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนใช้ในคนให้กับสัตว์ที่สัตวแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็น และสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย

การนำยาคนมาใช้รักษาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน เช่น สุนัข และแมว ไม่มี ข้อจำกัดมากเท่ากับการนำยาคนมาใช้รักษาสัตว์เศรษฐกิจ เช่น โคกระบือ สุกร หรือ ไก่ เพราะกรณีหลังนี้อาจทำให้เกิดการตกค้างของยาในเนื้อสัตว์ที่คนนำมาบริโภค และมีผลเสียตามมา เช่น นำไปสู่การดื้อยาในคน เป็นต้น

วิธีการป้อนยา และการให้ยาภายนอกกับสุนัข และแมว
การป้อนยาสุนัข และแมวสามารถปฏิบัติได้ง่ายโดยเฉพาะในสุนัข และ แมวที่ไม่ดุ และมีความคุ้นเคยกับเจ้าของ มีวิธีการปฏิบัติดังนี้

1. จับบริเวณปากด้านล่างให้สัตว์เงยหน้าขึ้น ในขณะเดียวกันเปิดปาก ด้านบนของสัตว์ออกอย่างช้า ๆ

2. วางเม็ดยาลงบริเวณโคนลิ้น แล้วปิดปากโดยจับปากของสัตว์ให้ปิด อยู่เช่นนั้นพร้อมกับลูบบริเวณลำคอเพื่อให้สัตว์กลืนยา

3. ในการป้อนยานํ้าจะใช้หลอดฉีดยา ที่ไม่มีเข็มฉีดยาติดอยู่เป็นอุปกรณ์ในการป้อนซึ่งขั้นตอนในการจัดท่าสัตว์ก่อนการป้อนยาจะเป็นเช่นเดียวกับการป้อนยาเม็ด แต่การป้อนยานํ้าจะใช้การสอดท่อป้อนเข้าทางข้าง ๆ ปาก บริเวณกระพุ้งแก้ม และต้องค่อย ๆ เดินยาจากหลอดเข้าสู่ปากสัตว์เพื่อป้องกันการสำลักยาเข้าสู่ทางเดินหายใจ

4. หากพบปัญหาการป้อนยายาก อาจใช้อุปกรณ์ช่วยในการป้อนยาซึ่ง เป็นหลอดพลาสติก แต่ต้องระมัดระวังในการใช้เพราะผู้ที่ยังไม่ชำนาญอาจจะทำให้ยาหลุดเข้าสู่หลอดลมเกิดอันตรายต่อสัตว์ได้

5. หากพบว่าสัตว์ปฏิเสธการกินยา อาจใช้วิธีการอื่น ๆ เช่น ซ่อนยาใน ขนมที่มีรสหวานหรืออาหารที่สัตว์ชอบ เช่น ทองหยอด ลูกชิ้น เนื้อปลาย่าง เป็นต้น

6. ถ้าไม่สามารถป้อนยาสัตว์ได้ต้องรีบพาสัตว์ไปพบสัตวแพทย์เพื่อให้ ยาโดยวิธีการอื่น เช่น การฉีดยา

7. หากพบว่าสัตว์กินยาแล้วมีการอาเจียนทุกครั้ง หรือมีปัญหาอื่นใด เกิดขึ้นระหว่างการกินยา ควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันที

สำหรับการให้ยาภายนอกกับสุนัข และแมว เช่น ครีมทารักษาขี้เรื้อน ขี้ผึ้งใส่แผล ยาหยอดตา-หู มีข้อปฏิบัติดังนี้

1. ควรตัดขนหรือขลิบขนบริเวณที่จะให้ยาออก เพื่อให้บริเวณรอยโรค ได้รับยาเต็มที่ซึ่งมีผลต่อการดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกายสัตว์

2. ใช้ยาในปริมาณพอเหมาะไม่มากเกินไป และไม่บ่อยเกินไปเพราะยา บางชนิด ถ้าใช้มากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหรืออาจเกิดพิษจากยาได้ เนื่องจากความเข้มข้นของยาที่เข้าสู่ร่างกายสูงเกินไป

3. ก่อนใช้ยาหยอดหู ควรทำความสะอาดช่องหูขจัดขี้หู และสิ่งคัดหลั่งในหู เช่น คราบหนองออกให้หมดก่อนจึงหยอดยา จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ เพราะไม่มีสิ่งแปลกปลอมบดบังพื้นที่ผิวสัมผัสของยากับเนื้อเยื่อในช่องหู

4. การใช้ยาหยอดตาให้ใช้มือข้างที่ถือขวดยา วางลงบนหัวสัตว์โดยอ้อม จากด้านหลังหัวสัตว์ แล้วหยอดยาลงบนบริเวณหัวตา โดยเปิดหนังตาล่างออก เล็กน้อย ระวังปลายขวดยาสัมผัสลูกตาสัตว์ขณะหยอดยา

 เก็บรักษายาสัตว์
ยาสัตว์ก็เหมือนยาคนที่ต้องดูแล และเก็บรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีมีคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน แนะนำให้อ่านจากฉลากยาหรือเอกสารกำกับยาที่แนบมาถึงวิธีการเก็บรักษายา เภสัชภัณฑ์หรือยาสำเร็จรูปทั่ว ๆ ไปมักกำหนดวิธีเก็บรักษายา ไว้ที่ฉลากยาหรือเขียนระบุไว้ข้างกล่อง ยาบางตัวสลายตัวได้ง่ายเมื่อเจอกับแสงความร้อน และความชื้น การเก็บรักษายาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ โดยเริ่มจากสถานที่เก็บยาเป็นอันดับแรก ควรเก็บรักษายาไว้ในกล่องหรือตู้ยาเช่นเดียวกับยาคน เก็บไว้ในที่มิดชิด และวางให้พ้นมือเด็ก และสัตว์เลี้ยง สถานที่จัดเก็บยาควรอยู่แห้งสะอาดมีอากาศถ่ายเทไม่โดนแดดส่องหรืออยู่ใกล้เตาไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน สำหรับยาบางตัวระบุที่ระบุไว้ในฉลากยาว่าเก็บไว้ในที่เย็นหรือเย็นจัด ก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็น

โดยทั่วไปแล้วการเก็บรักษายาต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้

1. อุณหภูมิ โดยที่อุณหภูมิเย็นหมายถึงอุณหภูมิระหว่าง 5-15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเย็นจัดคือ อุณหภูมิระหว่าง 2-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิห้องหรืออุณหภูมิธรรมดาคือ อุณหภูมิระหว่าง 15-25 องศาเซลเซียส

2. แสง ตัวยาบางชนิดไม่คงตัวเมื่อสัมผัสกับแสง ในกรณีเช่นนี้จำเป็นต้องเก็บยาในที่ ๆไม่ถูกแสง ภาชนะสำหรับบรรจุยาควรเป็นวัตถุทึบแสง เช่น ขวดแก้วสีชา กล่องกระดาษ พลาสติกทึบแสงเป็นต้น

3. ความชื้น เป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศในแถบร้อนที่มีความชื้นใน บรรยากาศสูงเช่น ประเทศไทย นอกจากตัวยาบางตัวสลายตัวเมื่อถูกกับความชื้น แล้วรูปแบบยาเตรียมบางประเภทเช่น ยาเม็ดเคลือบน้ำตาล ยังไม่คงตัวอีกด้วย แก้ไขโดยใส่สารดูดความชื้น เช่น silica gel (ทำเป็นแคปซูล) หรือ calcium chloride (ทำเป็นเม็ด) ใส่ลงไปในภาชนะบรรจุยาที่มีฝาปิดสนิท

4. อายุของยา ต้องคอยดูแล และควบคุมการใช้ให้ยาอยู่ในสภาพที่ดี และยัง ไม่หมดอายุ

5. ฉลากยา นอกจากจะดูแลรักษาให้ยาให้ดีแล้ว ควรระวังให้ฉลากยาอยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ ต้องคอยระวังไม่ให้ฉลากสกปรกเลอะเลือนหรือเปียกน้ำจนอ่านไม่ออก ข้อความบนฉลากยามีส่วนช่วยให้เจ้าของสัตว์ใช้ยาได้ถูกต้องตามความประสงค์ของสัตวแพทย์ไม่มีการปะปน และเกิดการสับสนในการให้ยาแก่สัตว์ และยังบอกวิธีเก็บรักษายาได้เหมาะสม

 เมื่อสุนัข และแมวป่วยจะให้ยาแก้ปวดลดไข้ของคนได้ หรือไม่
ยาที่ใช้กันเป็นประจำเพื่อลดไข้บรรเทาปวดในมนุษย์ เช่น แอสไพริน หรือพาราเซตามอล ซึ่งถือเป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับมนุษย์นั้น ไม่ได้ ปลอดภัยหรือมีความเป็นพิษตํ่าในสัตว์เลี้ยงเช่น เดียวกับในมนุษย์ ในทางตรงกันข้าม ยาเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดความเป็นพิษหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น เกิดแผลหลุมในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้มีเลือดออก หากได้รับยาอย่างไม่ถูกต้อง

แอสไพรินไม่ได้เป็นยาตัวเลือกที่ดีสำหรับลดไข้ บรรเทาปวดในแมว เนื่องจากแอสไพรินจะถูกเปลี่ยนแปลง และขับออกอย่างช้า ๆ ในร่างกายของแมว สามารถให้ได้เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการบรรเทาปวด ดังนั้นจึงควรนำแมวของท่านเข้ารับคำแนะนำจากสัตวแพทย์ และไม่ควรป้อนยาให้สัตว์เลี้ยงของท่านเองโดยไม่ได้ปรึกษาสัตวแพทย์ก่อน สำหรับในสุนัข จะมีปัญหาเกี่ยวกับเอนไซม์ในการเปลี่ยนแปลงยาน้อยกว่าแมว แต่ปัญหาที่มักพบจากการได้รับแอสไพรินในสุนัข คือ การระคายเคืองทางเดินอาหาร มีเลือดออก และเกิดแผลหลุมในกระเพาะอาหารดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ยาแอสไพรินกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันการระคายเคืองทางเดินอาหารของยาแอสไพรินนี้

สำหรับยาพาราเซตามอลนั้น แมวจะไวต่อความเป็นพิษของพาราเซตา มอลได้มากกว่าสุนัข โดยขนาดยาเพียง 45 มก./กก. ของน้ำหนักตัวก็ทำให้เกิด ความเป็นพิษได้แล้ว (พาราเซตามอล 1 เม็ด ขนาดเท่ากับ 500 มก.) เนื่องจาก แมวขาดเอนไซม์ที่ใช้เปลี่ยนแปลงยาทำให้ยาเกิดความเป็นพิษขึ้น เม็ดเลือดแดงของแมวนั้นไวต่อการถูกทำลาย ทำให้ไม่สามารถขนส่งออกซิเจน ส่งผลให้แมวเสียชีวิตได้ อาการที่แสดงความเป็นพิษจะเกิดขึ้นภายใน 4-12 ชั่วโมงหลังจากได้รับยา โดยอาการที่อาจพบได้ในระยะเริ่มแรก คือ อาเจียน ซึม หายใจลำบาก เหงือกมีสีคล้ำ อุ้งมือ อุ้งเท้า และหน้าบวม หลังจากนั้นประมาณ 2 วัน ตับอาจเสียหาย เริ่มสังเกตเห็นอาการดีซ่าน ชัก โคม่า และตายได้ในสุนัขขนาดของยาที่ทำให้เกิดความเป็นพิษจะสูงกว่าในแมว คือ 250 มก./กก. ของน้ำหนักตัว ซึ่ง ความเป็นพิษมักเกิดขึ้นกับตับ และไต ทำให้เกิดภาวะตับ และไตวายได้ ดังนั้นจึงไม่ควรให้ยาพาราเซตามอลกับสุนัข และแมวเป็นอย่างยิ่ง

 สัตว์มีการแพ้ยาหรือไม่
ปกติเรามักจะได้ยินว่า สัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุทำให้เด็กเล็ก ๆ หรือคนบางคนที่เป็นโรคภูมิแพ้แสดงอาการแพ้ขึ้นมาได้ (น่าแปลกคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ มักจะแพ้ไปหมด เจออะไรก็แสดงอาการแพ้ และเจ้าสัตว์เลี้ยงมักจะโดนโทษก่อนใครว่าเป็นต้นเหตุ) แต่เจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราก็เกิดอาการแพ้ยาขึ้นมาได้แบบเดียวกับคนเช่นกัน อาการแพ้เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาตอบโต้ของภูมิคุ้มกันภายในร่างกายสิ่งมีชีวิต ภูมิคุ้มกันที่น่าจะดูแลปกป้องเรา แต่บางทีก็ทำหน้าที่เกินเลยไปหน่อยจนเกิดปัญหาของคนบางคนที่ไวเป็นพิเศษที่เป็นหนัก ๆ ก็เป็นโรคแพ้ภัยตัวเองจนต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน อาการแพ้ที่แสดงออกมามีตั้งแต่อาการหนักหนาสาหัสจนแทบตายจนถึงพอทนไหวแต่ก็มีผลต่อคุณภาพชีวิต อาการแสดงออกมากบ้างน้อยบ้างหรือแค่พอรำคาญ ถ้าเป็นกันบ่อย ๆ ก็เรียกว่าเป็นโรคภูมิแพ้ (สุนัข และแมวก็มีสิทธิเป็นโรคภูมิแพ้เหมือนกัน) เพราะแพ้สิ่งต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมที่เราต้องเจอะเจอในชีวิตประจำวันแถมยังยากต่อการหลีกเลี่ยง เช่น อาหารทะเล นมวัว ฝุ่นละออง ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ อากาศเปลี่ยนแปลง ฯลฯ บางคนก็แสดงอาการแพ้มาก บางคนก็แพ้น้อย แล้วแต่พันธุกรรม (หรือบางคนก็เชื่อว่าเป็นกรรมเก่า) การแพ้ยาก็จัดเข้าในประเด็นนี้คือ อาจแสดงอาการหนักหนาสาหัส เช่น หายใจไม่ค่อยออก เพราะหลอดลมตีบตันขึ้นมาซะเฉย ๆ หรือแค่ขึ้นผื่นตามเนื้อตัว พอหยุดยาหรือไม่ได้สัมผัสกับต้นเหตุของอาการแพ้ก็หายไปได้เอง พอได้ใหม่ก็แพ้อีก เป็นที่สังเกตุว่าอาการแพ้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นถ้าไม่หยุดใช้ยาที่ทำให้แพ้

ยาอะไรบ้างที่ทำให้แพ้ยาได้

ยาที่ใช้กันทั่ว ๆ ไปในการรักษาโรคซึ่งรวมถึงยาที่ใช้รักษาอาการแพ้ ทั่วไปที่เราเรียกว่า ยาแก้แพ้ (ถึงตรงนี้ท่านคงงงว่า แล้วจะใช้อะไรรักษาถ้าไปแพ้ยาแก้แพ้เข้า เอาเถอะ มียาแก้ก็แล้วกัน) ยาที่พบว่าทำให้แพ้มากได้แก่ ยาต้านจุลชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยาปฏิชีวนะที่มีโครงสร้างเป็นเบต้าแลคแตม (มีหลายตัวด้วยกัน แพ้ตัวหนึ่ง ก็พาลแพ้ไปทั้งกลุ่ม) ยาในกลุ่มซัลฟา (มีหลายตัว) วิธีการให้ยาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะให้โดยการกิน ให้โดยการฉีดหรือแค่ทาภายนอก ก็ทำให้แพ้ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าให้โดยการฉีดอาการแพ้มักจะรุนแรงกว่าให้โดยการทาเฉพาะที่

ท่านอาจสงสัยว่า เคยใช้ยาตัวนี้มาก่อนก็ไม่เคยมีปัญหา แต่มามีปัญหาที หลัง หลังจากใช้ไปแล้วครั้งที่สองหรือนานกว่านั้น อธิบายแบบง่าย ๆ ได้ว่า เช่นเดียวกันกับสารก่อให้เกิดอาการแพ้ทั้งหลาย ที่ร่างกายเรามองเห็น“ยา” เป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เริ่มรู้จักในครั้งแรกแล้วว่า “ยา” ที่เราให้ไปครั้งนั้น เป็นสิ่งแปลกปลอม ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถแยกแยะได้ว่า สารแปลกปลอมนั้นมาดีหรือมาร้าย มันไม่เข้าใจว่าเขาให้ “ยา” มาช่วยจัดการกับเชื้อโรคที่รุกราน ระบบภูมิคุ้มกันเลยสร้างสารแอนติบอดีเตรียมเอาไว้ กะว่าจะจัดการให้จงได้ถ้าโผล่มาอีกเป็นการเตรียมพร้อมที่จะสร้างสารกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่จำเพาะกับยาหรือสารเคมีที่มีโครงสร้างคล้าย “ยา” ตัวนั้นขึ้นมา เมื่อได้รับ “ยา” เข้ามาอีกครั้ง ภูมิต้านทานก็สำแดงเดช ในบางรายที่ภูมิต้านขยันมากไปหน่อย สร้างสารแอนติบอดีออกมามากก็จะทำให้แพ้มากกว่ารายอื่น ๆ

แล้วท่านจะสังเกตได้อย่างไรว่า สัตว์เลี้ยงของท่านแพ้ยาเข้าให้แล้ว

ท่านอาจสังเกตได้ง่ายมากถ้าอาการแสดงออกมาชัดเจนจนผิดปกติไป อาการคันตามผิวหนังโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ผิวค่อนข้างอ่อนบาง เช่น หน้าท้องอาจมีผื่นเกิดขึ้นทันทีหลังจากได้รับยา ผื่นอาจจางหายไปบ้าง และกลับมามีมากขึ้นเมื่อให้ยาในขนาดต่อไป สุนัขบางตัวอาจแสดงอาการแพ้ออกมาโดยอาการคันแล้วก็เกาอย่างเมามัน (แยกให้ออกจากคันเพราะมีเห็บหมัดหรือโรคอื่น ๆ) มีรอยผื่นแดง คันรอบดวงตา ปาก และหู บริเวณรอบโคนหาง และอุ้งเท้า บางรายหน้าตาบวมแดงจนเห็นได้ชัด มีน้ำตาไหล น้ำมูกไหล ในบางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น จาม หายใจติดขัด ที่หนักหนาก็แสดงอาการหอบหรือโคม่าได้ เมื่อเกิดขึ้นหลังจากให้ยาก็ให้สงสัยว่าสัตว์เลี้ยงแพ้ยาไว้ก่อน หยุดให้ยาตัวนั้นทันที รีบนำสัตว์เลี้ยงพร้อมกับยาไปหาสัตว์แพทย์โดยด่วนเพื่อหาทางแก้ไขอาการแพ้ และห้ามให้ยาขนานนั้นต่อไปโดยเด็ดขาดถ้าพบว่าแพ้ยาตัวนั้นจริง ถ้าอาการแพ้แสดงออกมาเป็นผื่นเล็กน้อยควรหยุดยา สังเกตอาการผื่นจะหายไปเองและควรไปปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นที่ให้ผลการรักษาแบบเดียวกัน แต่มีโครงสร้างทางเคมีไม่เหมือนกับตัวที่ทำให้แพ้

ถ้าหยุดยาก็แล้ว ผื่นไม่หายเสียทีอย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะสัตว์เลี้ยงของท่าน อาจเกาจนเป็นแผลแล้วตามด้วยการติดเชื้อ ทำให้การรักษายุ่งยากมากขึ้น รีบไปพบสัตว์แพทย์เพื่อรับยาแก้แพ้ และทาผื่นนั้นด้วยเสตียรอยด์ การใช้เสตียรอยด์ในระยะสั้น ๆ เพื่อหยุดการลุกลามของผื่น และอาการคันไม่ทำให้เกิดปัญหาแต่ประการใด แต่ถ้าไม่ใช้ยาแก้ไขแต่เนิ่น ๆ ปัญหาโรคผิวหนังที่ตามมาจากผื่นแพ้ธรรมดา ๆ จะ ร้ายแรงกว่ามากที่สำคัญโปรดจำไว้ด้วยว่าสัตว์เลี้ยงของท่านแพ้ยาอะไร และแจ้งแก่สัตวแพทย์ทุกครั้งเมื่อมีการใช้ยารักษา

 จะพาสุนัขเดินทางไปต่างจังหวัด ควรเตรียมตัวสุนัขอย่างไรไม่ให้เมารถ
การเมารถ หรือ motion sickness เกิดขึ้นได้กับสุนัขหรือแมวที่ต้องเดิน ทางไกล โดยเฉพาะสัตว์ที่ไม่ค่อยได้นั่งรถเดินทางบ่อย ๆ ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องพาสุนัขหรือแมวเดินทางไกล ควรพาสัตว์ไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับยาป้องกันการเมารถมาให้สัตว์กินก่อนเดินทาง รวมทั้งตรวจสุขภาพทั่วไปของสัตว์ก่อนการเดินทาง

ยาที่ใช้ป้องกันการเมารถเป็นยาในกลุ่ม antihistamines หรือที่รู้จักกัน ทั่วไปในนามของยาแก้แพ้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นยากลุ่มนี้ไม่ได้มีฤทธิ์แต่เพียงการแก้แพ้หรือแก้คันเท่านั้น แต่ยังมีฤทธิ์ในด้านอื่น ๆ รวมทั้งการป้องกันการเมารถด้วย

antihistamines แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มโดยกลุ่มที่มีฤทธิ์ป้องกันการเมารถจัดอยู่ ในกลุ่ม H,- antihistamines ตัวยาที่นิยมใช้ป้องกันการเมารถ คือ

1. diphenhydramine มีฤทธิ์ระงับอาเจียน ระงับไอ สงบประสาท และลดการรับรู้ต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอกในสัตว์ ทำให้สัตว์สงบ ช่วยป้องกันการเมารถได้ ขนาดยาที่ใช้คือ 2-4 มิลลิกรัมต่อนํ้าหนักตัวสัตว์ 1 กิโลกรัม อาจให้โดย การกินหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 8 ชั่วโมง

2. dimenhydrinate มีฤทธิ์คล้าย diphenhydramine ขนาดยาที่ใช้คือ 4-8 มิลลิกรัมต่อนํ้าหนักตัวสัตว์ 1 กิโลกรัม ให้โดยการกินทุก 8 ชั่วโมง


 ทำไมการให้ยาปฏิชีวนะในสัตว์เลี้ยงบางครั้งจึงไม่ประสบ ความสำเร็จ
โดยทั่วไปการพิจารณาจ่ายยาปฏิชีวนะของสัตวแพทย์มักคำนึงถึงหลัก สำคัญ 4 ประการ คือ

1. การเลือกจ่ายยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับเชื้อจุลชีพก่อโรค

2. ขนาดของยาที่จ่ายถูกต้อง และเหมาะสมกับชนิดของสัตว์ อาการของ โรค อวัยวะที่มีการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อที่ผิวหนัง ขนาดของยาปฏิชีวนะที่จ่ายต้องสูงเพียงพอ เนื่องจากผิวหนังได้รับเลือดไปเลี้ยงเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ของเลือดที่ถูกส่งออกมาจากหัวใจ ยาที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยการฉีดหรือกินจะไปถึงยังผิวหนังได้โดยการส่งผ่านทางกระแสเลือด ดังนั้นปริมาณยาที่ไปถึงผิวหนังจะค่อนข้างตํ่าหากเทียบกับอวัยวะที่มีเลือดไปเลี้ยงสูง เช่น ตับ

3. ระยะห่างหรือความถี่ของการได้รับยาในขนาดดังกล่าวตามข้อ 2 ถูกต้อง เช่น ยาบางชนิดสัตว์ควรได้รับวันละ 1 ครั้ง หรือบางชนิดควรได้รับ วันละ 4 ครั้ง จึงจะมีผลทำให้ระดับของยาในเนื้อเยื่อเป้าหมายคงที่ และสูงพอที่จะออกฤทธิ์ได้

4. ระยะเวลาที่สัตว์ได้รับยาปฏิชีวนะควรนานเพียงพอที่จะทำให้เกิดการ รักษาโรค ซึ่งในที่นี้จำเป็นต้องคำนึงอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่ต้องการให้ยาไปออกฤทธิ์ด้วย เช่น การติดเชื้อที่ผิวหนัง ในกรณีผิวหนังอักเสบเป็นหนอง การรักษาการติดเชื้อชนิดนี้ จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานานอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ จึงจะทำให้การรักษาได้ผลดี

ความล้มเหลวของการรักษาการติดเชื้อด้วยปฏิชีวนะที่พบบ่อยอาจเกิดจากการที่เจ้าของหยุดป้อนยาให้สัตว์ป่วยก่อนกำหนดหรือเมื่อเห็นว่าสัตว์ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว และมักจะเก็บยาที่เหลือไว้เพื่อใช้ในครั้งต่อไปเอง ซึ่งมักจะทำให้การรักษาการติดเชื้อด้วยยาชนิดเดิมไม่ได้ผลเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอาจพัฒนาตัวเองทำให้เกิดการดื้อต่อยาชนิดนั้น ๆ ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่สัตวแพทย์จ่ายยาปฏิชีวนะให้กับสัตว์ป่วย เจ้าของสัตว์ควรพยายามป้อนยาให้หมดตามที่สัตวแพทย์สั่งจ่ายยามาถึงแม้ว่าสัตว์จะหายป่วยกลับมาเป็นปกติแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวข้างต้น

ยาปฏิชีวนะบางตัว เช่น ยากลุ่ม เตตร้าซัยคลิน (tetracyclines) ไม่ควรให้ กินร่วมกับนม เนื่องจากแคลเซียมในน้ำนมจะจับกับยาปฏิชีวนะกลุ่มนี้ และทำให้ประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้ยาบางชนิดต้องให้ทุก 6 ชั่วโมง บางชนิดทุก 8 ชั่วโมง หรือทุก 24 ชั่วโมง ยาบางชนิดควรให้กินก่อนอาหารในขณะท้องว่าง บาง ชนิดให้กินหลังอาหาร หรือบางครั้งให้กินพร้อมอาหาร เพื่อให้ยาถูกดูดซึมได้ดีที่สุด ดังนั้นเจ้าของสัตว์ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

 เวลาขอให้หมอจ่ายยาให้น้องหมา ทำไมต้องพาน้องหมามาให้หมอดูตัวด้วยทั้ง ๆ ที่ก็ได้อธิบายอาการให้ฟังแล้ว

ก่อนที่สัตวแพทย์จะลงมือให้การรักษาโดยการฉีดยา หรือจ่ายยาให้ไปกินที่บ้านนั้น ต้องมีขั้นตอนการตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติหรือหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดอาการไม่สบาย การตรวจร่างกายภายนอก เช่น การจับต้องตัวสัตว์ การฟังเสียงปอด การฟังเสียงหัวใจ การวัดอุณหภูมิอาจไม่เพียงพอ จึงต้องมีการเจาะเลือดเก็บน้ำปัสสาวะหรืออุจจาระไปตรวจเพื่อยืนยันให้แน่นอน ดังนั้นการฟังคำบอกเล่าจากเจ้าของเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัย และให้การรักษา สัตวแพทย์ทราบดีว่าการพาสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ตัวโต ๆ มาหาหมอเป็นความยุ่งยากต่อเจ้าของสัตว์ แต่การจ่ายยาโดยไม่ได้สัมผัสสัตว์เลยจะทำให้เกิดปัญหามากกว่า โดยเฉพาะกับสัตว์เองที่อาจได้ยาที่ไม่ตรงกับโรค ขนาดยาที่ได้มากหรือน้อยเกินไป เป็นต้น

บางครั้งสัตว์เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการรับยาอย่างต่อเนื่อง เช่น สัตว์ที่มีโรคลมชัก เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคข้อ เป็นต้น เจ้าของควรพาสัตว์มาพบหมออย่างต่อเนื่องตามกำหนดนัดเพื่อประเมินอาการหมออาจต้องพิจารณาเพิ่มหรือลดขนาดยาจากที่ให้ไว้เดิมตามอาการที่พบมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจดีขึ้นหรือเลวลง ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อตับ และไต กรณีเช่นนี้จำเป็นต้องตรวจร่างกาย และตรวจเลือดอย่างสมํ่าเสมอ โดยทั่วไปหากเจ้าของประสบปัญหาในการพาสัตว์เลี้ยงมาหาหมอจริง ๆ อาจขอยาเพิ่มได้เมื่อยาแต่ละชุดหมดลง แต่ไม่ควรเว้นระยะการพาสัตว์เลี้ยงมาหาหมอนานเกินกว่า 6 เดือน ทั้งนี้กล่าวเฉพาะเมื่ออาการของสัตว์ดีขึ้นบ้างอย่างคงที่ไม่เลวลงจากเดิม แต่หากเห็นอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงต้องพามาก่อนนัดหรือตามนัดเสมอ

สัตวแพทย์พยายามที่จะใช้ยาที่เหมาะสม และมีความปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยงของท่าน วิธีปฏิบัติที่ดีคือ ให้สัตวแพทย์ได้ตรวจประเมินสุขภาพสัตว์และ ประเมินขนาด และชนิดของยาที่สัตว์ได้รับอย่างสมํ่าเสมอ แม้เจ้าของจะต้อง เสียสละเวลาบ้างในการพาสัตว์เลี้ยงมาหาหมอ แต่ก็เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง และสัตว์เลี้ยงแสนรักของท่าน

การใช้ยาในสัตว์เลี้ยง

การใช้ยากับสัตว์เลี้ยงนั้นข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการใช้ยากับสัตว์เลี้ยงของเรา  อาจจะมีคำถามว่ายาคนกับยาสัตว์ใช้ด้วยกันได้หรือเปล่า  ใช้ยาเกิดขนาดเป็นอะรบ้าง  ผลข้างเคียงจากการใช้ยาของสัตว์เลี้ยง  รวมไปถึงทำไมยาสัตว์ถึงแพงกว่ายาคนที่เรากินอยู่ และข้อสงสัยที่เรามักพบซึ่งทางผมได้เจอเอกสารของทาง  ภาควิชาเภสัชวิทยา  คณะสัตวแพทย์ศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ไว้บางข้อที่คิดว่ามีข้อสงสัยสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์  และมีความสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องใช้ยากับสัตว์  เพื่อเป็นการระมัดระวังการใช้ยากับสัตว์เลี้ยงของเราได้ถูกต้องบ้าง
ความแตกต่างระหว่าง  ยาสัตว์  กับยาคน
                คำว่า “ยาสัตว์”  คือยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป้นยาสัตว์  ส่วน  “ยาคน”  คือที่ไดรับขึ้นทพเบียนเป็นยาคน  ขึ้นตอนการขออนุญาติขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในสัตว์เหมือนกับการขึ้นทะเบียนเพื่อให้กับคน  ความแตกต่างขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในการทดลองยาทางคลินิกของยาสัตว์น้อยกว่า  คืออยู่ในระดับหลักร้อยเทียบกับระดับหลักพันในคน  แต่ใช้มาตรฐาน GMP  เช่นเดียวกับคน  สำหรับการศึกษาเรื่องการออกฤทธิ์นั้น  ยาของคนต้องมีการศึกษาค้นคว้าและทำการทดลองก่อนที่จะขอขึ้นทะเบียนยาได้  ส่วนยอของสัตว์นั้นจะต้องระบบุชนิดของสัตว์ที่ใช้ สรรพคุณอื่นๆที่ใช้เฉพาะราย
                เรื่องของจำนวนยาทมี่มีนั้นยาที่ได้รับขึ้นทะเบียนที่ใช้ในสัตว์มีน้อยกว่ายาที่ขึ้นทะเบียนที่ใช้กับคน  เพราะว่าตลอดยาของสัตว์มีน้อยกว่ามาก  ทำให้ราคาของยาสัตว์นั้นมีราคาที่แพงกว่า  หลายคนจึงคิดว่านำยาคนมาใช้กับสัตว์  ตามจริงไม่สามารถทำได้เพราะว่าจะเป้ฯอัตรายกับสัตว์  ซึ่งเป้ฯคำถามต่อไป
ยาคนใช้กับสัตว์ได้หรือไม่
                แม้ว่ายาทุกตัวจะมีฤทธิ์ต่อคนและสัตว์เหมือนกัน  แต่การตอบสนองขางร่างกายคน  และสัตว์แตกต่างกัน  ยาบางชนิดมีพิษน้อยสำหรับคน  แต่มีพิษสำหรับสัตว์  เจ้าของจึงไม่ควรที่จะนำยามาใช้กับสัตว์โดยตรง  ควรได้รับความเห็นจากสัตวแพยท์ก่อน  ซึ่งการคิดขนาดยาของคนที่นำมาใช้ในสัตว์นั้น  จะต้องทำการศึกษากับสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  เพื่อทำการตรวจสอบและวิจับในการวัดประสิทธิภาพและความเป็นพิษยาคนในสัตว์  และทำการบันทึกและตีพิมพ์จนสามารถที่จะรวบรวมอ้างอิงได้  จะต้องมีคู่มือที่บอกวิธีใช้ในสัตว์
การเก็บรักษายาสัตว์
                ยาสัตว์ก็มีการเก็บรักษาที่ไม่แตกต่างไปจากยาคน  คือต้องเก็บรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีมีคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน  ควรอ่านคำแนพนำสำหรับการเก็ยรักษาส่วนใหญ่จะมีไว้ที่ข้างกล่อง  ยาบางตัวสลายตัวได้ง่ายเมื่อเจอกับแสงแดด  ความร้อน  ความชื้น  สถาณที่เก็บรักษาควรที่จะมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก  หรือว่าบาอย่างได้ระบุไว้ด้วย
                ปัจจัยที่ควรคำนึงในการเก็บรักษายา
                1. อุณหภูมิ  โดยที่อุณหภูมิเย็นหมายถึง 5 – 12 อางศาเซลเซียส  อุณหภูมิเย็นจัดคือ 2 – 5 องศสาเซลเซียส หากเป็นอุณภูมิห้องคือ  15 – 25 องศาเซลเซียส
                2. แสง  ตัวยาบางชนิดต้องเก็บให้พ้นจากแสง  จำเป็นที่จะต้องใส่ซองหรือว่ากล่องที่ทึบป้องกันแสงเข้าไปในยาได้
                3. ความชื้น  สำหรับความชื้อนั้นอาจจะทำให้ยาเสื่อมคุณภาพจำเป็นต้องเก็บบรรจุในแคปซูลเพื่อป้องกันความชื้นเข้าไปในตัวยาได้
                4. อายุของยา  จะมีบอกวักหมดอายเช่นเดียวกับยาที่ใช้กับคนที่ฉลากยา
                5. ฉลากของยา  ควรที่จะดูแลรักษาฉลากของยาไม่ให้เปื้อนหรือว่าฉีกขาดได้  เพราะว่าคราวหน้าจะได้มาอ่านและใช้ตามที่ระบุไว้
ยาแก้ปวดของคนสามารถใช้กับสัตว์เลี้ยงได้หรือไม่
                ยาที่ใช้กันเป็นประจำเพื่อลดไข้หรือเทาปวดในมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพาราเซตามอลหรือว่าแอสไพริน  เป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับมนุษย์นั้น  ยานี้สงผลทำให้เกิดความเป็นพิษหรือเป็นอัตรายถึงชีวิตได้  เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้  หากไม่ได้รับยาอย่างถูกต้องและถูกวิธี
                แอสไพรินเป็นยาที่ดีสำหรับลดไข้แมว  เนื่องจากยาแอสไพรินจะถูปเปลี่ยนแปลง  และขับออกย่างช้าๆ  ในร่างกายของแมวสามารถให้ได้เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับบรรเทาอาการปวดดังนั้นจึงควรนำแมวของท่านเข้ารับคำแนะนำจากสัตว์แพทย์  และไม่ควรป้อนยามรสัตว์เลี้ยงเอง  แต่แอสไฟรินมีปัญหากับทางสุนัข  คือเกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร  ดังนั้นควรให้ยาหลังอาหารทันที
                สำหรับยาพาราเซตามอล  แมวจะไวต่อความเป็นพิษของพาราเซตามอลมากกว่าสุนัข  โดยขนาดยาเพียง 45 มก./กก.  ของน้ำหนักตัวก็เป็นพิษแล้ว  เนื่องจากแมวขาดเอนไซม์ที่ใช้เปลี่ยนแปลงยาทำให้เกิดพิษขึ้น  จะทำให้เกิด  อาการ  อาเจียน  หายใจไม่ออก  หน้าบวม และเกิดอาการอื่นๆ  จนทำให้ตายได้  สำหรับสุนัขหากรับยาเกิน  250 มก./กก  ต่อน้ำหนักตัว  อาจจะทำให้เกิดภาวะตับ  หรือว่าไตมีปัญหาได้  ดังนั้นแล้วไม่ควรให้ยาพาราเซตามอลทั้งสุนัขและแมว
http://www.xn--72c2azblnq3c2a1h6dtb.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87/
http://www.nupet.org/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%86/173-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87.html